อิทธิพลจากเมืองท่าชายฝั่งเบงกอลจนถึงเกาะลังกาสู่เมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคฟูนันจนถึงศรีวิชัยผ่านเส้นทางการค้า (๑)
- วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

- Nov 12
- 2 min read
Updated: Nov 23
ชุดบทความความเข้าใจเบื้องต้นต่อบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖

การศึกษาทางโบราณคดีในพื้นที่ประเทศไทย แม้จะมีการพบหลักฐานทางโบราณคดีของกิจกรรมมนุษย์มากมายก็ตาม แต่การสร้างเรื่องราวเพื่อเชื่อมโยงจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยภาพรวมก็ดูจะมีข้อมูลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จนไร้บทบาทชัดเจน แตกต่างจากประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ผ่านแว่นสายตาแบบเจ้าอาณานิคมเข้ามามีบทบาทในการศึกษาวิจัย เป็นต้นแบบสืบมา
การทบทวนโดยสรุปเบื้องต้น เพื่อให้เข้าใจว่าชุมชนโบราณและผู้คนในพื้นที่ประเทศไทยนั้น เชื่อมโยงกับโลกภายนอกอย่างไรบ้าง ในแต่ละบริบทช่วงเวลา
ร่องรอยความเป็นชุมชนบ้านเมืองในระยะเริ่มแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง เห็นได้ชัดว่า
ได้รับอิทธิพลจากนักบวชทางพุทธศาสนาตั้งแต่ยุคพุทธกาลและโดยเฉพาะหลังรัชกาลพระเจ้าอโศกฯ ที่การเดินทางโพ้นทะเลและการค้าเริ่มเห็นเด่นชัด
บริเวณเมืองสำคัญตั้งแต่ยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าในกลุ่มมหาชนบท ๑๖ รัฐ และในเวลาต่อมาที่ใช้เป็นฐานการติดต่อเดินทางทางทะเลแบบเลียบชายฝั่งจากอ่าวเบงกอลผ่านลุ่มน้ำพรหมบุตรสู่ดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามคาบสมุทรสู่ดินแดนทางเอเชียตะวันออก ร่วมสมัยกับยุคราชวงศ์ฮั่นและก่อนหน้าตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๓ เป็นต้นมา และเมืองท่าชายฝั่งตลอดอ่าวเบงกอลจนถึงดินแดนอานธระ ซึ่งเป็น
ยุคสมัยก่อนการเผยแผ่ของพุทธศาสนา รวมทั้งพ่อค้าจากอินเดียทางเหนือคือบริเวณปากน้ำคงคา ได้แก่ ตามรลิปติ [Tamralipti] หรือเมืองตัมลุก อยู่ในรัฐเบงกอลตะวันตกปัจจุบัน

ใต้ลงมาทางชายฝั่งรัฐโอดิสา บริเวณชายฝั่งลุ่มน้ำมหานทีในปัจจุบันคือ เมืองป้อมในลุ่มน้ำมหานทีที่
ศรีสุพัลการห์ [Sisupalgarh] ศูนย์กลางการค้าของอาณาจักรกลิงคะในสมัยโบราณ มานิกะปัฏฏินะ [Manikapatna] และ ยอร์กาดา [Jaugada] โกนาฆาร์ [Konark] ปุรี [Puri] ปาเลอ [Palur] ที่ตั้งอยู่ใกล้กับปากน้ำริษิกุลยา นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก ปโตเลมี อ้างถึงเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ว่าเป็นจุดออก
เดินทางสำหรับเรือที่มุ่งหน้าไปยังสุวรรณภูมิ ใต้ลงมาเลียบทางชายฝั่งเมือง กลิงคะปัฏฏินัม [Kalingapatnam] ปากน้ำวาสะธารา และ ธัปตะปุระ [Dabtapura] ท่าเรือที่ บิมลิปปัฏฏินัม [Bimlipatnam]
เมืองทางพุทธศาสนาที่ ปาสตาปูร [Pastapur] ใกล้ลำน้ำโคธาวารี [Godavari] ท่าเรือที่ลุ่มน้ำกฤษณา [Krishna] มีเมืองท่า มาสุลีปัฏฏินัม [Masulipatnam] ธารานิโกฏะ [Dharanikota] และ อมราวดี [Amaravati] ในรัฐอานธรประเทศปัจจุบัน

แถบลุ่มน้ำกาเวรี [Kaveri] มีศูนย์กลางทางพุทธศาสนาที่ มหาบาลีปุรัม [Mahabalipuram] และ
อะริกะเมฑุ [Arikamedu] เป็นเมืองท่าสำคัญที่ทำการค้ากับจักรวรรดิโรมันตั้งแต่ช่วงศตวรรษแรก
ก่อนคริสตกาล ขุดค้นทางโบราณคดีพบเครื่องปั้นดินเผาเป็นโถสีแดงแบบโรมัน (Arretine Ware)
โถแอมฟอรา และหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงถึงการค้าขายกับโลกตะวันตกในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๔-๘ และ ฆาเวรีปัฏฏินัม [Kaveripatnam] นาคปัฏฏินัม [Nagapatnam] บริเวณลุ่มแม่น้ำกาเวรี ในรัฐ
ทมิฬนาฑู เป็นเมืองท่าที่มีบทบาทในการค้าทางทะเล มีความสำคัญทางพุทธศาสนา เป็นเมืองท่าที่ใช้
แลกเปลี่ยนสินค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ต่อมาเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของราชวงศ์โจฬะตอนกลางและบ้านเมืองในสมัยศรีวิชัยจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘
ส่วนที่ศรีลังกาคือบริเวณกรุงอนุราธปุระ ตามตำนานและร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏ กล่าวกันว่า
พระมหินทรเถระ โอรสของพระเจ้าอโศกฯ เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๓ โดยมี เมืองมันไต [Mantai] เป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองในสมัยโบราณและผู้คนนับถือฮินดู ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะศรีลังกาใกล้ชายฝั่งทะเลและสามารถเดินทางผ่านไปยังเมืองอนุราธปุระที่พุทธศาสนารุ่งเรืองได้ มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับอินเดียใต้ อาหรับ เปอร์เซีย และจีน เข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก เกิดการติดต่อทางวัฒนธรรมและศาสนา ศิลปะแบบอมราวดีจากอินเดียใต้มีอิทธิพลอย่างมากต่อพุทธศิลป์ในศรีลังกา โดยเฉพาะในช่วงยุคอนุราธปุระตอนต้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๓ สืบเนื่องตลอดจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ อิทธิพลนี้เข้ามาผ่านเส้นทางการค้าทางทะเล และการติดต่อทางวัฒนธรรมระหว่างศรีลังกากับชาวอานธระ

ศิลปะแบบอมราวดีมีอิทธิพลต่อการสร้างพระพุทธรูปในศรีลังกาไปจนถึงช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ นอกจากนี้ยังมีความนิยมสร้างแผ่นหินรูปพระจันทร์ [Moonstone] แกะสลักรูปช้าง ม้า สิงโต วัว และ
ลายพันธุ์พฤกษาเรียงต่อกัน การเล่าเรื่องในพุทธประวัติและชาดก พระพุทธรูปทำจากหินอ่อนที่เป็นหินปูนชนิดหนึ่ง เรียกว่า ‘หินอ่อนปาลนาด’ [Palnad Marble] ซึ่งนำเข้าจากอานธระและนิยมในช่วง
พุทธศตวรรษที่ ๖-๙ พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ จีวรเป็นริ้วซึ่งคล้ายคลึงกับศิลปะแบบอมราวดีมาก เป็นต้น
และนักวิชาการทางตะวันตกส่วนหนึ่งเชื่อว่าศิลปะแบบอานธระที่มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ถ่ายทอดมาจากดินแดนศรีลังกา แต่ในปัจจุบันเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบข้อมูลจาก
หลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ชายฝั่งทางอานธระตลอดไปถึงอ่าวเบงกอลนั้น มีเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางทางการค้า รวมทั้งเป็นชุมชนทางพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางการค้าและเผยแผ่พุทธศาสนาจากอินเดียตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗ และ ๘ สู่บ้านเมืองทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ทำให้มีการรับอารยธรรมและพุทธศาสนามาจากหลายภาคของอินเดียโดยตรง รวมถึงพุทธศาสนาแบบมหายานและตันตระจากบ้านเมืองแถบอานธระ ซึ่งรุ่งเรืองในบริเวณแม่น้ำกฤษณาของอินเดียใต้ในรัฐอานธรประเทศปัจจุบัน
ซึ่งอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ถือว่ากลุ่มพ่อค้าและวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาแบบอมราวดีนั้น เข้าสู่
เมืองท่าที่คอคอดกระ เช่น ที่คลองท่อม จังหวัดกระบี่ และภูเขาทองที่บางกล้วย อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง ฯลฯ นอกเหนือจากนั้นคือเมืองท่าในยุคสมัยฟูนันในแถบอ่าวไทย ดังนั้นอิทธิพลแบบอมราวดีจึงไม่ได้มีมาแต่ทางศรีลังกาเท่านั้น
การแผ่อิทธิพลทางศาสนาสู่เส้นทางการค้าและยุคสมัยของการค้าทางทะเลจากพระพุทธรูปแบบอมราวดีที่พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วัฒนธรรมของกลุ่มบ้านเมืองแบบ ‘อมราวดี’ [Amaravati] ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำกฤษณาและโคธาวรี สร้างขึ้นในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๘ ใน ราชวงศ์สาตวาหนะ [Satavahana] และในราว
พุทธศตวรรษที่ ๘-๙ ในช่วงราชวงศ์อิกษวากุ [Ikshvaku]¹ เป็นราชวงศ์ที่นับถือศาสนาฮินดู มีศูนย์กลางที่เมืองวิชัยนาคารชุนโกณฑะ ได้ให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับความเชื่อของตน ซึ่งพบเช่นนี้เป็นปกติในอินเดีย และแม้แต่ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มักอยู่ควบคู่กัน เพียงแต่ราชวงศ์จะอุปถัมภ์ศาสนาใดเป็นหลัก
การสร้าง ‘มหาสถูปแห่งอมราวดี’ [Amaravati Chatiya] ที่เมืองอมราวดี กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองทางพุทธศาสนาใหญ่ในลุ่มน้ำกฤษณา สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ขนาดใหญ่โตสูงกว่า ๙๕ ฟุต
ประดับด้วยแผ่นเล่าเรื่องพุทธประวัติทำจากหินอ่อนปาลนาด [Palnad marble] และเก่าแก่ร่วมสมัยไปถึงรัชกาลของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะ พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในลุ่มน้ำกฤษณาหลังจากที่ได้อิทธิพลแบบคันธาระและมถุราทางอินเดียตอนเหนือแล้ว ก็มีรูปแบบเฉพาะตัวของอมราวดี เช่น
พระพุทธรูปนาคปรก พระพุทธรูปประทับยืน และพระพุทธรูปประทับห้อยพระบาท
ร่องรอยที่พบศิลปะแบบอมราวดีอย่างชัดเจนคือ ‘พระพุทธรูปแบบอมราวดี’ เป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ คลุมจีวรแบบริ้ว ใบหน้าอวบอิ่ม ปากเล็ก พระเกศาหยิกเป็นลอน ปางประทานอภัย พระพุทธรูปแบบอมราวดีนั้นแพร่ไปสู่ศรีลังกา ในช่วงยุคต้นของอนุราธปุระจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ บางครั้งจึงต้องตั้งข้อสังเกตอย่างละเอียดเมื่อแพร่เข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ามาจากลุ่มน้ำกฤษณาที่อมราวดีโดยตรงหรือแพร่ผ่านมาทางศรีลังกา
มหาสถูปและศิลปะแบบอมราวดีได้รับอิทธิพลศิลปะแบบเมารยะในสมัยที่พระเจ้าอโศกฯ เผยแผ่
พุทธศาสนามาถึงอานธระและยังไม่มีพระพุทธรูป [Aniconic Period] จนมีการพัฒนาจากสัญลักษณ์มาเป็นรูปมนุษย์ในภายหลังในรัชกาลพระเจ้ากนิษกะ [Kanishka] แห่งราชวงศ์กุษาณะ [Kushan Dynasty] ทางตอนเหนือของอินเดียและเขตอัฟกานิสถานปัจจุบันเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ส่งอิทธิพลทางศิลปกรรมแบบกรีก-โรมัน
บ้านเมืองในแถบอานธระน่าจะได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนา ‘นิกายสรวาสติวาท’ [Sarvastivada] ซึ่ง
ราชวงศ์กุษาณะอุปถัมภ์อยู่ หลักคำสอนเขียนด้วยภาษาสันสกฤต ซึ่งแผ่มาจากเอเชียกลางและอินเดียเหนือแผ่สู่ทางชายฝั่งของอ่าวเบงกอลตามเมืองพุทธศาสนาหลายแห่ง² เช่น กลิงคะ [Kalinga] และ
อานธระ [Andhra Pradesh] บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางพุทธศาสนาสำคัญ เช่น อมราวดี
[Amaravati] และนาคารชุนโกณฑะ [Nagarjunakonda] ซึ่งนิกายสรวาสติวาทถือเป็นรากฐานสำคัญต่อพัฒนาการแนวคิดของพุทธศาสนามหายานในดินแดนสุวรรณภูมิ³
ใน มหายานมหาปรินิพพานสูตร และตำราที่เกี่ยวข้องบ่งชี้ว่าผู้ปกครองใน ‘ราชวงศ์สาตวาหนะ’ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๘ ให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาแบบมหายานอย่างมาก และมีส่วนร่วมในการพัฒนาวิหารถ้ำกาเล [Karla Caves] ถ้ำอชันตา [Ajanta Caves] รวมถึงมหาสถูปที่เมืองอมราวดี แม้ว่านิกายหลักในพื้นที่คือ ‘มหาสังฆิกะ’ [Mahasamghika] ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นมหายาน⁴
ในเขตคาบสมุทรเดคข่านจะพบว่า ผู้บริจาคอุปถัมภ์วัดและพระภิกษุสงฆ์หลายแห่งที่อยู่ในเส้นทางการค้าที่สำคัญคือ ‘เหล่าพ่อค้า’ ที่บริจาคให้วัดและพระสงฆ์ที่เอื้อเฟื้อในเรื่องที่พักและอาหารระหว่างการ
เดินทาง ทั้งในเส้นทางภายในและตามเมืองท่าชายฝั่งทะเลที่ออกเดินทางลงใต้และข้ามอ่าวเบงกอลสู่สุวรรณภูมิ

กลุ่มวัดและวิหารต่าง ๆ มากมายใน ‘หุบเขานาคารชุน’ ริมแม่น้ำกฤษณาที่ปัจจุบันจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำไปแล้ว ต่อมาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการแสวงบุญที่ดึงดูดนักศึกษาจากทั่วภูมิภาค คำสอนของ
ท่านนาคารชุน⁵ ซึ่งอยู่อาศัยและสอนที่หุบเขานาคารชุนในอมราวดี เป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานไปยังศรีลังกาและเอเชียตะวันออก คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็น่าจะผ่านจากทางศรีลังกาด้วยอีกส่วนหนึ่ง

หลักฐานสำคัญของการเป็นยุคสมัยแห่งการค้าในแถบนี้ที่เรียกว่ายุคสมัยอมราวดีและในเวลาต่อมา
ก็คือ การใช้เหรียญแบบตราประทับลายรูปสี่เหลี่ยม [Punch marked coins] แบบหล่อด้วยแม่พิมพ์
[Cast coins] และแบบประทับตราเป็นรอยนูน [Die struck coins] และเหรียญที่ผลิตเลียนแบบเหรียญโรมันในช่วงต้นคริสตกาล ซึ่งใช้มากในช่วงที่ปกครองด้วยราชวงศ์กุษาณะ สะท้อนให้เห็นความเจริญทางการค้าตามเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์สาตวาหนะ เช่น เนวาษะ [Nevasa] พรหมบุรี [Bhama Puri] จันทราวัลลี [Chandravali] วีระปุรัม [Veerapuram] เยลเลสวรัม [Yelleswaram] เป็นต้น โดยเหรียญส่วนมากทำจากตะกั่วและทองแดง พวกเหรียญเงินและทองพบจำนวนน้อยกว่า อันเนื่องมาจากการควบคุมมาตรฐานการค้าและการแลกเปลี่ยน⁶
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมแบบ ‘อมราวดี’ ไม่ได้มีเฉพาะผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะยังได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของผู้นับถือฮินดู แสดงถึงการอยู่ร่วมกันของศาสนาทั้งสองในยุคสมัยนั้น ในบริเวณ
อานธรประเทศ พบพระนารายณ์ขนาดเล็ก มือถือสังข์ที่สะโพก จากเมืองเยลเลสวรัม [Yelleswaram]
ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโคธาวารีและเมืองท่าวิสาขปัฏนัม ซึ่งศาสตราจารย์ โอ คอร์เนอร์ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นต้นแบบพระนารายณ์ขนาดเล็กที่แพร่เข้ามาและสร้างขึ้นในเขตคาบสมุทร โดยเฉพาะที่ชุมชนริม
เขาหลวงและอ่าวบ้านดอนที่มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐ และชุมชนแบบวัฒนธรรมฟูนันในดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงทั้งกัมพูชา เวียดนาม และส่งอิทธิพลไปถึงพระนารายณ์ขนาดเล็กที่พบในแถบเมืองโบราณอู่ทอง ลุ่มน้ำสุพรรณ และเมืองลพบุรี⁷


พระพุทธรูปอิทธิพลศิลปะแบบอมราวดีที่เรียกว่า ‘พระทีปังกร’ [Dipankara] เป็นพระพุทธรูปแบบอมราวดีที่ทำจากสัมฤทธิ์ ถือว่าเป็นผู้พิทักษ์แก่ชาวเรือ อ้อนวอนขอให้ท้องทะเลคลื่นลมสงบ แสดงออกอย่างสำคัญว่าเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการค้าโพ้นทะเล พบแถบพม่าตอนล่าง ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงตอนล่าง เวียดนามตอนกลางที่ดงเซินในกวางนัม พระพุทธรูปยืนแสดงธรรมหรือวิตรรกมุทราพบที่สุไหงโกลก เพชรบุรี และนครราชสีมา อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เป็นพระพุทธรูปรุ่นแรกในดินแดนประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้อายุไว้ราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๐

ทั้งพระพุทธรูปหินและสัมฤทธิ์พบบริเวณคาบสมุทรสยาม-มลายู เช่น พระพุทธรูปที่ปาเลมบัง และบางองค์ที่พบตอนกลางของภาคกลางในประเทศไทย นักประวัติศาสตร์ศิลปะ เช่น ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ว่า น่าจะเป็นอิทธิพลของศิลปะแบบคุปตะผ่านชวากลาง ส่วนศาสตราจารย์ชอง บวสเซอร์ลิเยร์ คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากลุ่มน้ำกฤษณามากกว่าจะมาจากบริเวณชวากลาง แต่นักประวัติศาสตร์ศิลปะกลุ่มหลัง ๆ มักจะให้น้ำหนักศิลปะอมราวดีไปจากศรีลังกามากกว่าลุ่มน้ำกฤษณา⁸

จากการศึกษาบริเวณคอคอดกระ พบหลักฐานหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นำออกมาจาก
อานธรประเทศ ซึ่งเป็นการติดต่อกันโดยตรงในช่วงยุคสุวรรณภูมิ (ราวพุทธศตวรรษที่ ๓-๘) เช่น ต่างหูทองคำ พบบริเวณเขาเขมายี้ ชุมชนท่าเรือภายในทางฝั่งอันดามัน ในอำเภอเกาะสอง ของ
สหภาพเมียนมา อายุในราชวงศ์สาตวาหนะยุคแรก ซึ่งพบเครื่องประดับคล้ายกันในงานประติมากรรม
เล่าเรื่องแก้ว ๗ ประการของราชามหากษัตริย์ที่สถูปอมราวดี ตราประทับทองคำจารึกอักษรพราหมี
มหานาวิกะ มีจารึก ‘พฤหัสปติศรมัน นาวิกะ’ พบที่ภูเขาทอง ชายฝั่งอันดามัน อำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง จากการเปรียบเทียบตัวอักษรและกำหนดอายุของจารึกนี้อยู่ในช่วงราชวงศ์สาตวาหนะในราว
พุทธศตวรรษที่ ๓–๘

วัตถุประสงค์การเดินทางเพื่อการค้าของพ่อค้าชาวพุทธ ส่งอิทธิพลต่อบ้านเมืองและรูปแบบความเชื่อผ่านทางรูปแบบศิลปะทางพุทธศาสนาทั่วเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นช่วงของการค้าทางทะเลที่เจริญสูงสุดช่วงหนึ่งจากอินเดีย และมีอิทธิพลสูงต่อการค้า ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อในเอเชียใต้ด้วยกันเอง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเกิดบ้านเมืองยุคแรกเริ่มที่เห็นการเกิดพัฒนาการของนครรัฐต่าง ๆ [Mandala] ใกล้บริเวณชายฝั่งทะเลชัดเจนตั้งแต่ในช่วง
พุทธศตวรรษที่ ๘-๙ เป็นต้นมา
¹ ราชวงศ์อิกษวากุที่ดินแดนอานธระ [Andhra Ikshvaku] เป็นกลุ่มที่นับถือพระเวท เรียกว่าเป็นชาว ไศเวท [Shaivites] แตกต่างไปจากราชวงศ์อิกษวากุที่อยู่บริเวณรอบรัฐพิหารและทางตะวันออกของอินเดียในกลุ่มที่เป็นชาวอินโด-อารยันยุคแรก ๆ [Solar dynasty or Sūryavaṃśa] เริ่มมีอำนาจเมื่อราชวงศ์สาตวาหนะอำนาจลดลง อุปถัมภ์ศาสนาฮินดูปกครองเมืองหลวงวิชัยปุรี [Vijayapuri] ในหุบเขานาคารชุนของลุ่มน้ํากฤษณา ปกครองอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๘-๙ ในขณะเดียวกัน แต่ก็ยังอุปถัมภ์พุทธศาสนาให้เฟื่องฟูไปพร้อมกัน
² บันทึกการเดินทางของ พระภิกษุเสวียนจั้ง [Xuanzang] หรือพระถังซัมจั๋ง ราว พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๘ หรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ กล่าวถึงการแพร่หลายของนิกายสรวาสติวาท [Sarvastivada] ตามแนวชายฝั่งอินเดียตามบันทึกของพระภิกษุอี้จิง ทำให้ทราบว่า ฝ่ายมหายาน แบ่งเป็นนิกายมาธยมิกะ และนิกายโยคาจารย์ ส่วนฝ่ายเถรวาท มีนิกายมูลสรวาสติวาท มหาสังฆิกะ สถวิรวาท และสัมมิตียะ
³ พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ปรากฏหลักฐานต่าง ๆ ทั้งเอกสารและพระพุทธรูปในนิกายมูลสรวาสติวาท เช่น พระพุทธรูปยืนที่พบในวัดแก้ว เมืองไชยา ซึ่งช่วงแรกนั้นยังคงนับถือพุทธศาสนาเถรวาทแบบ นิกายมูลสรวาสติวาทมากกว่ามหายาน ใน พระมหาธงชัย วณฺณวีโร (วรรณวีระ) และคณะ, “การวิเคราะห์พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา ในอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี,” Journal of MCU Nakhondhat 6, 5 (July 2019): n. pag. และอธิพัฒน์ ไพบูลย์ เสนอว่าราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ในพื้นที่เกาะชวา สัมพันธ์กับการขยายตัวทางการค้าในยุคอินโด-โรมันและราชวงศ์กุษาณะ ซึ่งอุปถัมภ์พุทธศาสนานิกายนี้อย่างชัดเจน โดยแพร่ไปทางเกาะชวาสู่เขตภาคพื้นทวีป รูปแบบศิลปะระหว่างภูมิภาคทั้งสองผ่านหลักฐานภาพเล่าเรื่องและหลักฐานประติมากรรมพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใน “ข้อสังเกตเรื่อง นิกายสรวาสติวาท,” ดำรงวิชาการ July 21 (2021): 14-30.
⁴ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ พระพุทธศาสนามหายานแบบตันตระได้รับความนิยมมาก มีการสร้างพระโพธิสัตว์ตามคติมหายานมากมาย บันทึกของเสวียนจั้งและอี้จิงในพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ สำนักมหาสังฆิกะได้หายไปแล้ว ช่วงเวลานั้นพวกเขาเรียกว่า
มหายาน แทน
⁵ วิเคราะห์กันว่าท่านนาคารชุนเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดทางพุทธศาสนาแบบมหายาน น่าจะเกิดในช่วงราว พ.ศ. ๖๔๓–๗๔๓ หลวงจีน
เหี้ยนจังกล่าวว่า พระนาคารชุนเกิดในสกุลพราหมณ์ ทางภาคใต้ของอินเดีย ที่เมืองวิทารภะ มีความรู้แตกฉานในพุทธปรัชญา ท่านก่อตั้งสำนักมัธยมกะ ซึ่งเป็นสำนักหนึ่งในฝ่ายมหายาน มีการถ่ายทอดไปยังจีน ได้รับการยกย่องนับถือในฐานะผู้สถาปนาแนวคิดปรัชญา
ปารมิตา และหลักสูญญตา และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยนาลันทา
⁶ วิภาดา อ่อนวิมล, "เหรียญตราในประเทศไทยช่วงพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๖" (ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ภาควิชาโบราณคดี บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๖๑), ไม่ปรากฏเลขหน้า.
⁷ อาจารย์ โอ คอนเนอร์ เปรียบเทียบพระวิษณุจากไชยากับพระวิษณุที่เยลสวรัม [Yelesvaram] ซึ่งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลของรัฐ
อานธรประเทศ ถือสังข์ด้วยพระหัตถ์ซ้ายด้านหน้าที่เอว พระหัตถ์ขวาทำปางประทานอภัยแบบมถุราและนุ่งผ้ามีชายห้อยโค้งคล้ายกัน มีรูปแบบคล้ายคลึงกับพระวิษณุจากนครศรีธรรมราชมากที่สุด กลางพระหัตถ์ซ้ายด้านหน้าที่เอว พระหัตถ์ขวาทำปางประทานอภัยแบบมถุรา เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งโอ๊กแลนด์ และขวาเป็นพระวิษณุจากอานธรประเทศ ความสูง ๗๙ เซนติเมตร เก็บรักษาไว้ที่ The Avery Brundage Collection ซานฟรานซิสโก ใน วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, ฮินดูในรัฐตามพรลิงค์, เข้าถึงเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2568, เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/j2UeN
⁸ A. ramachandran, “Amaravati Buddhist images in Srilanka and Southeast Asia,” Proceedings of the Indian History Congress, Vol. 53 (1992): n. pag.



![ชุมชนใกล้ชายฝั่งแบบนครรัฐแรกเริ่ม [Thalasocracy] (๒)1](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_fc20b099a1d64e2ebf3fd6afc85aa1dd~mv2.png/v1/fill/w_980,h_551,al_c,q_90,usm_0.66_1.00_0.01,enc_avif,quality_auto/9512c9_fc20b099a1d64e2ebf3fd6afc85aa1dd~mv2.png)
Comments