top of page

อิทธิพลจากการค้าโพ้นทะเลยุคใหม่ของจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง (และหยวน) เมื่อราว พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙ (๔)

ชุดบทความ

ความเข้าใจเบื้องต้นต่อบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ 


อิทธิพลจากการค้าโพ้นทะเลยุคใหม่ของจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง
อิทธิพลจากการค้าโพ้นทะเลยุคใหม่ของจีนสมัยราชวงศ์ซ่ง (และหยวน) เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๙

ความสืบเนื่องจากการซบเซาของรัฐที่คุมช่องแคบมะละกาและช่องแคบซุนดา อันเป็นผลมาจาก ‘สงครามโจฬะ-ศรีวิชัย’ ที่เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. ๑๕๖๘ ส่งผลให้การเดินเรือทะเลจากจีนตอนใต้ในช่วงราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งอยู่ในช่วงราว พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๖๖๙ เจริญงอกงามเข้ามาแทนที่ระบบการเดินเรือจากกลุ่มชาว

มลาโย-โพลีนีเชียน ซึ่งอยู่ในกลุ่มบ้านเล็กเมืองน้อย


ข้อสันนิษฐานหนึ่งที่มีความชัดเจนของการเดินเรือของชาวมลายูที่เป็นผู้ชำนาญการเดินเรือ ชาวจีนจะเลียนแบบสร้างเรือก็คือเรือสำเภาจีน เชื่อว่ามีต้นกำเนิดและพัฒนามาจากแบบแผนของเรือมลายูโบราณนำคำนี้ไปใช้เรียกเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ของชาวเอเชียโดยไม่จำแนกประเภทอย่างชัดเจน ทั้งเรือของชวา มลายู และจีนหรือที่เรียกว่า ‘จง’ [Jong] ซึ่งต่อมาคำนี้ได้กลายเป็นรากศัพท์ของคำภาษาอังกฤษว่า ‘Junk’ ที่หมายถึงเรือสำเภาจีน


เรือใบแบบลานอง
เรือใบแบบลานองของชาวพื้นเมืองออสโตรนีเซียนทางเกาะมินดาเนาของฟิลิปปินส์ ที่มีใบเรือแบบ ‘ใบตันจา’ [tanja sail] หรือใบเรือแบบมีไม้ขวาง ซึ่งเป็นนวัตกรรมของชาวออสโตรนีเซียนที่แล่นเรืออยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เชื่อกันว่าการพัฒนาของเรือสำเภาจีนที่ใช้เดินทะเลลึกในช่วงราชวงศ์ซ่งเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘  ได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีการต่อเรือของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือของชาวออสโตรนีเซียนนั่นเอง การนำระบบใบเรือแบบ ‘ใบตันจา’ [Tanja Sail] หรือใบเรือแบบมีไม้ขวาง ซึ่งเป็นนวัตกรรมของ

ชาวออสโตรนีเซียนมาปรับใช้ ดังนั้น แม้ว่าเรือสำเภาจีนจะมีลักษณะการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น การกั้นห้องใต้ท้องเรือเป็นช่องกันน้ำหลายช่อง แต่ก็ได้มีการรับเอาเทคโนโลยีใบเรือและอิทธิพลบางอย่างจากเรือมลายูโบราณหรือเรือชวาโบราณ [Jong] มาใช้ในการพัฒนาเรือเดินสมุทรของตน


เรือแบบตันจา 
ภาพแกะสลักแบบนูนต่ำที่บูโรพุทโธ เป็นเรือที่มีเสาค้ำสองข้างพร้อมใบเรือแบบตันจา  อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔

เมื่อเริ่มราชวงศ์ซ่ง ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๐๓ โดยจักรพรรดิไท่จู่ [Song Taizu] หรือ เจ้าควงอิ้น [Zhao Kuangyin] หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถังและยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จีนมีความแตกแยกทางการเมืองและมีการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัฐต่าง ๆ ​จักรพรรดิไท่จู่สามารถรวมประเทศจีนส่วนใหญ่ได้สำเร็จ และสร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการบริหารงานผ่านขุนนางและระบบสอบจอหงวนเพื่อคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้ารับราชการ แต่ราชวงศ์ซ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากชนเผ่าทางตอนเหนือซึ่งก่อตั้งราชวงศ์เหลียว [Liao Dynasty] และชาวซีเซี่ย ซึ่งก่อตั้งราชวงศ์

ซีเซี่ย [Western Xia Dynasty] ทำให้เกิดความขัดแย้งและการทำสงครามระหว่างกัน ​จนถึงกาลล่มสลายเมื่อ พ.ศ. ๑๖๗๐ เมื่อชาวจิน [Jurchen] โจมตีและยึดครองเมืองหลวงไคเฟิง  


หลังจากการล่มสลายของซ่งเหนือ จักรพรรดิซ่งเกาจงได้ก่อตั้งราชวงศ์ซ่งใต้ขึ้น ซึ่งอยู่ในช่วงราว 

พ.ศ. ๑๑๖๙–๑๘๒๒ โดยย้ายเมืองหลวงไปยังหางโจว [Hangzhou] ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเฉียนถัง [Qiantang River] ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง อยู่ในมณฑลเจ้อเจียงในปัจจุบัน 


แม้จะสูญเสียพื้นที่ทางตอนเหนือ แต่ราชวงศ์ซ่งใต้ยังคงมีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ

การค้าทางทะเลที่ขยายตัวมาก ท่าเรือในภาคใต้ เช่น ‘กว่างโจว’ [Guangzhou] ที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง และ ‘เฉวียนโจว’ [Quanzhou] ที่เมืองท่าระดับจังหวัดในมณฑลฝูเจี้ยนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนติดกับช่องแคบไต้หวัน ซึ่งเป็นดินแดนจวนจิวของกลุ่มคนฮกเกี้ยน จนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงจีนกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย และตะวันออกกลาง การย้ายเมืองหลวงจากทางเหนือ ทำให้จีนสูญเสียเส้นทางการค้าทางบกไปยังตะวันตกหรือเส้นทางสายแพรไหมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต  และเป็นสาเหตุให้ท่าเรือทางทะเลกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญ โดยเฉพาะเมืองท่าเฉวียนโจวที่กลายเป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดของจีนในยุคนั้น


ในช่วงปลายราชวงศ์ซ่งใต้ จีนต้องเผชิญกับการรุกรานของชาวมองโกล ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของ

ราชวงศ์ซ่งใต้ใน พ.ศ. ๑๘๒๒ เมื่อกองทัพมองโกลยึดครองหางโจวและก่อตั้งราชวงศ์หยวน [Yuan Dynasty) ราชสำนักจีนได้จัดตั้งระบบบรรณาการกับบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อส่งเสริม

การค้าและรักษาการไหลเวียนของสินค้าหายาก โดยผู้นำและพ่อค้าต่างชาติสามารถได้รับสิทธิพิเศษในการค้ากับจีน แต่ก็ทำให้มีความคึกคักจนจีนขาดแคลนเงินตราโลหะหรือเหรียญอีแปะ ทำให้พ่อค้าต้อง

แลกเปลี่ยนสินค้าด้วยเครื่องเซรามิกและผ้าไหมทดแทนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้


นโยบายทางการค้าสมัยราชวงศ์ซ่งการขยายตัวของระบบเงินตรา เช่น การผลิตเหรียญทองแดงจำนวนมาก และการนำเงินกระดาษมาใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีน มีการสร้างระบบเครดิตและตั๋วแลกเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าขาย ซึ่งรวมทั้งแผ่นทองคำที่เรียกว่าทองใบในระบบการค้า ซึ่งพบ

หลักฐานแผ่นทองใบนี้ที่ใกล้กับเทือกเขาไชยสน ในจังหวัดพัทลุง1 ส่วนเหรียญอีแปะนั้นพบทั่วไปในเขตคาบสมุทรและลุ่มเจ้าพระยาที่เคยมีการติดต่อหรือค้าขายในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เช่น ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้น


เรือสมัยราชวงศ์ซ่ง
เรือสมัยราชวงศ์ซ่ง พบที่เฉวียนโจว ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/File:Quanzhou_Boat.jpg.

การเปิดท่าเรือใหม่ เช่น ท่าเรือเฉวียนโจว [Quanzhou] และหางโจว [Hangzhou] เพื่อรองรับการค้าทางทะเล ​การจัดตั้งสำนักงานกำกับการค้าทางทะเลในหลายเมืองท่า เพื่อควบคุมการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงการเก็บภาษีการพัฒนาการเกษตร เช่น การปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ (ข้าวพันธุ์จาม) และการปลูกข้าวสองครั้งต่อปี การส่งเสริมอุตสาหกรรม เช่น การผลิตเซรามิก การทำผ้าไหม และการผลิตเหล็ก การยกเลิกการห้ามส่งออกเหรียญทองแดงในปี พ.ศ. ๑๖๑๗ เพื่อกระตุ้นการค้าทางทะเล การส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศ โดยการออกใบอนุญาตพิเศษให้พ่อค้าต่างชาติ การเก็บภาษีจากเรือสินค้าและสินค้านำเข้า การผูกขาดการซื้อขายสินค้าบางประเภท เช่น ไม้หอมและสินค้าหรูหรา นโยบายเหล่านี้ช่วยให้เศรษฐกิจของจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งเจริญรุ่งเรือง และทำให้จีนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดีย2  


ท่าเรือเฉวียนโจว
ท่าเรือเฉวียนโจว [Quanzhou] เป็นหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดและพลุกพล่านที่สุดในโลก ในช่วงราชวงศ์ซ่งและหยวน เป็นแหล่งผลิตสินค้าส่งออกมากมาย ได้แก่ ผ้าไหม ผ้า เครื่องลายคราม เซรามิก ทองแดง เหล็ก เงิน และทอง เป็นศูนย์รวมทางวัฒนธรรม ผู้คน ความเชื่อทั้งพุทธและอิสลาม ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว
วัดเทียนโห่ว
วัดเทียนโห่ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพีแห่งท้องทะเล ‘มาจู่’ [Mazu] ซึ่งเป็นเทวีแห่งท้องทะเลที่ชาวเรือและชาวประมงนับถือในเมืองเฉวียนโจว มณฑลฝูเจี้ยน ภาพจาก https://en.people.cn/n3/2021/0730/c90000-9878570.html

แม้ในช่วงราชวงศ์ถัง การค้าทางทะเลของจีนยังคงอยู่ในมือของพ่อค้าชาวเปอร์เซียและอาหรับ แต่ในช่วงราชวงศ์ซ่ง การค้าทางทะเลของจีนได้ขยายตัวอย่างมาก แต่ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีการต่อเรือและการเดินเรือ รวมถึงการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง เช่น เครื่องเคลือบ ซึ่งเป็นที่ต้องการในต่างประเทศ การค้าทางทะเลของจีนในช่วงนี้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ​


การขยายตัวอย่างมากและแผ่ขยายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยมีรายละเอียดดังนี้ 


การค้ากับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สินค้าที่นำเข้า ได้แก่ ไม้หอม เครื่องเทศ งาช้าง และสินค้าจากป่า เช่น กฤษณาและเครื่องหอม


การค้ากับอินเดียและศรีลังกา โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งโคโรมันเดล สินค้าที่นำเข้าจากภูมิภาคนี้ ได้แก่ 

ผ้าไหม เครื่องเทศ  อัญมณี  และสินค้าหรูหรา


การค้ากับดินแดนอาหรับและเปอร์เซีย ผ่านเส้นทางการค้าทางทะเลในมหาสมุทรอินเดีย สินค้าที่นำเข้าจากตะวันออกกลาง ได้แก่ เครื่องแก้ว เครื่องเทศ น้ำหอม และสินค้าหรูหรา


การค้ากับชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก เช่น โซฟาลา และโมกาดิชู สินค้าที่นำเข้าจากแอฟริกาตะวันออก  ได้แก่ ทองคำ งาช้าง และสินค้าจากสัตว์


การค้ากับญี่ปุ่นและเกาหลีเน้นส่งออกเซรามิกและผ้าไหม สินค้าที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ได้แก่ เงินและสินค้าหัตถกรรม


เรือหนานไห่หนึ่ง
เรือหนานไห่หนึ่ง เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีใต้น้ำที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นเรือสินค้าอายุ ๘๐๐ ปี สมัยราชวงศ์ซ่ง ค้นพบในทะเลจีนใต้และยังคงสภาพสมบูรณ์ บรรทุกสมบัติล้ำค่ากว่าหกหมื่นชิ้น รวมทั้งโบราณวัตถุที่ทำจากทองคำ เงิน และเครื่องเคลือบดินเผาจากสมัยราชวงศ์ซ่ง เหรียญทองแดงและสินค้า งาช้าง เครื่องประดับ และโครงสร้างไม้ที่เก็บรักษาไว้ เป็นเรือสินค้าซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงขอบเขตการค้าทางทะเลของจีนอันกว้างขวาง แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ในถังน้ำเค็มขนาดใหญ่เพื่ออนุรักษ์ ภาพจาก https://www.reddit.com/r/ArtefactPorn/comments/yl1n84/the_nanhai_one_is_a_chinese_merchant_ship_with/

แม้จะไม่ใช่การค้าตรงกับประเทศในยุโรป แต่สินค้าจากจีน เช่น เซรามิก ผ้าไหมและเครื่องเทศ ถูกส่งต่อไปยังยุโรป ผ่านเส้นทางการค้าของชาวอาหรับและเปอร์เซีย


พ่อค้าชาวจีนเริ่มมีบทบาทสำคัญในการค้าทางทะเลตลอดระยะเวลาสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดีย แต่ในปี พ.ศ. ๑๘๒๒ ราชวงศ์ซ่งถูกพิชิตโดยมองโกล ซึ่งได้สืบทอดเครือข่ายการค้าทางทะเลของจีนและเทคโนโลยีการต่อเรือและการเดินเรือ ภายใต้การปกครองของมองโกล จีนยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะมหาอำนาจทางทะเลและการค้าในภูมิภาคเอเชีย3


ส่วนในประเทศไทย มีการกล่าวถึงในเอกสารกงขุ้ยกล่าวถึงรัฐโบราณรัฐหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำ

ภาคกลางว่า ปีที่ ๑ รัชศกเฉียนเต้า ตรงกับ พ.ศ. ๑๗๐๘ ‘...พ่อค้าใหญ่ (นายหนึ่ง) ชาวประเทศเจนลีฟูถึงแก่กรรมที่เมืองหมิงโจว’ ซึ่งเมืองหมิงโจวคือเมืองกว่างโจว ในมณฑลกวางตุ้ง และระบุถึงตำแหน่งที่ตั้งว่า เจนลีฟูอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ ‘เจินล่า’ ทางทิศตะวันตกติดกับ ‘ปอซือหลาน’ ทางทิศตะวันตกติดกับ ‘ตันหลิวเหมย’ ได้ส่งบรรณาการเข้ามายังราชสำนักซ่งใต้เมื่อ พ.ศ. ๑๗๔๓ เจ้าเมืองมีพระนามว่า ‘หมอหลัวกานอู้ติงเอินซือ หลี่ฟังฮุ่ย’ ซึ่งอาจเทียบได้ว่า ‘กัมรเตง อัญศรีฝ้งอุย’ แห่ง ‘เมืองหมอหลัวปา’ และส่งราชทูตไปอีกใน พ.ศ. ๑๗๔๕ ส่วนชื่อพระราชาที่ส่งราชทูตไปใน พ.ศ. ๑๗๔๘ ที่จีนบันทึกไว้คือ 

‘ซีหลี่หมอชีต๋อป๋าหลอฮุง’ ที่ถอดเสียงได้ว่าเป็น ศรี มเหนทรวรมันต่อมาก็ส่งราชทูตไปใน พ.ศ. ๑๗๔๘


หนังสือซ่งหุ้ยเอียวฉบับร่างกล่าวว่า สินค้าพื้นเมือง มีดังเช่น งาช้าง นอระมาด ขี้ผึ้ง กระวาน แก่นไม้มะเกลือลาย ฯลฯ ประชากรนับถือศาสนาพุทธ4


การค้ากับจีนในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๙ นี้ คือกระบวนการเสริมสร้างและรวมกลุ่มบ้านเล็กเมืองน้อยให้กลายมาเป็นนครรัฐขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ ดังที่เราพบความเป็น ‘เจนลีฟู’ ซึ่งมีมาก่อนการเกิดขึ้นของนครรัฐคู่ เช่น สุพรรณภูมิและอโยธยา หรือ เพชรบุรีและราชบุรี ที่เป็นเมืองสมัยใหม่กว่า ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหลักที่สะดวกแก่การเป็นเมืองท่าภายในเพื่อการติดต่อทางการค้าและปรากฏในจารึกเอกสารต่าง ๆ ว่ามีความมั่นคงในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา การเกิดขึ้นของบ้านเมืองเหล่านี้ก็เป็นผลเนื่องมาจากการอยู่ในยุคแรกเริ่มแห่งการค้า ที่มีนวัตกรรมการเดินเรือทางทะเล การตั้งเมืองท่าขนาดเล็กขึ้นมากมาย การเมืองของการค้าทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเข้มข้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๕ นั่นเอง


1 แผ่นทองนี้ มีองค์ประกอบที่วิเคราะห์แล้ว คือ มีทองเป็นองค์ประกอบ ๙๗ % ส่วนที่เหลือเป็นโลหะเงิน ดร.อชิรัชญ์ ไชยพจน์พานิช อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี  มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ศึกษาตัวอักษรบนแผ่นทองให้ข้อมูลว่า ตัวอักษรจีนที่มุมเป็นชื่อของแหล่งผลิตแผ่นทอง เช่น 'ป้าเป่ยเจียซี' และ ‘ป้าเป่ยเจียตง’ ถอดความว่า ‘ป้าเป่ย’ เป็นคำโบราณที่ใช้เรียกกันในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ปัจจุบันไม่พบชื่อนี้แล้ว ‘เจีย’ แปลว่าถนน ‘ซี’ แปลว่า ตะวันตก ‘ตง’ แปลว่าทิศตะวันออก ดังนั้น 'ป้าเป่ยเจียซี' จึงหมายถึง ด้านตะวันตกของถนนป้าเป่ย หรือถนนป้าเป่ยฝั่งตะวันตก และ 'ป้าเป่ยเจียตง' หมายถึงด้านตะวันออกของถนนป้าเป่ย หรือถนนป้าเป่ยฝั่งตะวันออก 'ป้าเป่ยเจียซี' เป็นสถานที่แห่งหนึ่งอยู่บริเวณทะเลสาบซีหู เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีนในปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งใต้ ใน ทนงศักดิ์ เลิศพิพัฒน์วรกุล, ทองคำเขาชัยสน : ความคืบหน้า (2), เข้าถึงเมื่อเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2568, เข้าถึงได้จาก https://archaeology.sac.or.th/blog/246


2  Geoff Wade, "An Early Age of Commerce in Southeast Asia, 900-1300 CE.," Journal of Southeast Asian Studies 40, 2 (June 2009): pp 221-265.


3  Schottenhammer, Angela, The Song Dynasty (960–1279) – A Revolutionary Era Turn? (Budapest: ELTE University, Department of East Asian Languages, n.d.), n. pag.


4  ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี และวินัย พงศ์ศรีเพียร, “เจินหลี่ฟู รัฐปริศนาในดินแดนไทยก่อนสมัยสุโขทัย,” ใน ความยอกย้อนของประวัติศาสตร์: พิพิธนิพนธ์เชิดชูเกียรติศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ 

ดิศกุล, (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการ, ม.ป.ป.), ไม่ปรากฏหน้า.



Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
bottom of page