top of page

การถูกโจมตีข้ามอ่าวเบงกอลโดยฝ่ายโจฬะ  จุดจบของรัฐการค้าชายฝั่งบริเวณหมู่เกาะของสหพันธรัฐศรีวิชัยและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชาวจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (๓)

ชุดบทความ

ความเข้าใจเบื้องต้นต่อบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖ 


การถูกโจมตีข้ามอ่าวเบงกอลโดยฝ่ายโจฬะ
การถูกโจมตีข้ามอ่าวเบงกอลโดยฝ่ายโจฬะ จุดจบของรัฐการค้าชายฝั่งบริเวณหมู่เกาะของสหพันธรัฐศรีวิชัยและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชาวจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖

สงครามโจฬะ-ศรีวิชัย เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๖๘ เป็นการรุกรานทางทะเลโดยจักรพรรดิราเชนทรโจฬะ

ที่  ๑ ทรงนำกองทัพเรือโจฬะเข้าโจมตีศรีวิชัย สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งในการควบคุมเส้นทาง

การค้าในช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถือเป็นครั้งแรกที่อาณาจักรในอินเดียส่งกองทัพเรือโจมตีภูมิภาคอื่น โจฬะได้รับชัยชนะเหนือศรีวิชัยและสามารถจับกุมกษัตริย์แห่งศรีวิชัยได้ ศรีวิชัยเป็นเจ้าของเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญ คือ ช่องแคบมะละกา บริเวณระหว่างปลายคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา และช่องแคบซุนดา บริเวณระหว่างเกาะสุมาตราและเกาะชวา ซึ่งทำให้สามารถผูกขาด

การค้าและเก็บภาษีจากเรือที่ผ่าน จึงขัดผลประโยชน์กีดกันการค้าระหว่างอินเดียกับจีน นำไปสู่ความไม่พอใจของจักรวรรดิโจฬะ การรุกรานครั้งนี้โจมตีพื้นที่หลายแห่งในอินโดนีเซียและคาบสมุทรมลายู เช่น  เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา และเกดาห์ทางฝั่งอันดามันของคาบสมุทรมลายู1


แผนที่จักรวรรดิโจฬะทมิฬ
แผนที่จักรวรรดิโจฬะทมิฬ ในช่วงรุ่งเรืองที่สุด สมัยของราชาราเชนทรโจฬะที่ ๑ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๒๘-พ.ศ. ๑๕๕๗ ซึ่งสันนิษฐานว่าความขัดแย้งกับบ้านเมืองที่คุมบริเวณช่องแคบมะละกาในเส้นทางการเดินทางไปยังตะวันออก คือ จีนและกลุ่มอาณาจักรต่าง ๆ ทำให้มีการยกทัพเรือมาโจมตีบ้านเมืองของรัฐศรีวิชัย จนทำให้การควบคุมเส้นทางการค้าแต่เดิมของสหพันธรัฐศรีวิชัยต้องล่มสลายไป ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Rajendra_map_new.svg

สงครามนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การสิ้นสุดของ ‘ราชวงศ์ไศเลนทร์’ ที่เคยปกครองบ้านเมืองที่เกาะชวาและช่วยขยายเครือข่ายสมาคมพ่อค้า [Gild] ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีบทบาทเพิ่มขึ้น เช่น 

มณีคราม [Manigramam]2 รวมกับกลุ่มอัยยาโวล [Ayyavole] และอนูรูวาล [Ainnurruvar] กลุ่มสมาคมพ่อค้าจาก ทมิฬกัม[Tamilakam] ที่แปลว่า แผ่นดินของชาวทมิฬ จากพื้นที่เกรละ แคว้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งมะละบาร์3 ของอินเดีย และมาจากบางส่วนของกรณาฏกะและอานธรประเทศที่ไป

ตั้งมั่นอยู่ในเมืองท่าการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางจีนตอนใต้อยู่หลายกลุ่ม 


พระศิวะสวมมงกุฎดอกไม้ให้พระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑
วัดคงไคโกณฑโชฬิศวรัม (Gangaikondacholisvaram Temple) ที่เมืองกุมภโกนัม (Kumbakonam) รัฐทมิฬนาดู แสดงถึงพระศิวะกับพระนางปารวตี กำลังสวมมงกุฎดอกไม้บนพระเศียรของพระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ ภาพจาก  https://www.nationalgeographic.com/travel/article/gangaikondacholapuram-southern-india-chola-dynasty-ponniyin-selvan-1 

นักวิชาการชาวอินเดียให้ข้อสังเกตว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชาวทมิฬและดินแดนในเอเชียตะวันออก

เฉียงใต้ มีอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งทางความเชื่อ ศาสนา การค้า และวัฒนธรรม โดยเฉพาะเมื่อเกิดสหพันธรัฐศรีวิชัย ก็ยังเพิ่มในเรื่องการเมืองเข้าไปอีก และยังให้ข้อมูลต่อว่า เป็นธรรมเนียมที่พุทธสถานตามเมืองสำคัญและเมืองท่าต่าง ๆ มักได้รับการอุปถัมภ์จากชุมชนและสมาคมพ่อค้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพ่อค้าหรือกษัตริย์จากต่างแดนที่เข้ามาติดต่อการค้ายังอนุทวีป เช่น กรณีวิหารทางพุทธศาสนาที่อุปถัมภ์โดยกษัตริย์แห่งศรีลังกาและกษัตริย์ไศเลนทร์จากศรีวิชัย ซึ่งเชื่อมสัมพันธ์มาจากกลุ่มสมาคมพ่อค้า

ชาวทมิฬ จนถึงสมาคมพ่อค้าชาวฮินดูในช่วงหลังที่ปรากฏจากจารึกเขาพระนารายณ์ เมืองตะกั่วป่า กล่าวถึง Manigramam (มณีคราม) ที่เป็นกลุ่มพ่อค้าสำคัญจากทมิฬนาฑูและเกรละในช่วงพุทธศตวรรษที่  ๑๔-๑๙4  


เทวรูปพระนารายณ์ประทับยืน
เทวรูปพระนารายณ์ประทับยืน รับอิทธิพลโดยตรงจากศิลปะอินเดียภาคใต้ พบที่โคนต้นตะแบก ชาวบ้านเรียกว่า ‘ที่พระนารายณ์’ ริมฝั่งคลองตะกั่วป่าตรงข้ามกับเขาพระนารายณ์ (เขาเวียง) มีข้อมูลว่าเดิมน่าจะประดิษฐานอยู่บนเขาพระนารายณ์ (เขาเวียง) ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ภูเก็ต

ช่วงเวลาแห่งการค้าในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ นี้ เจฟ เวด [Geoff Wade]5 เสนอบทความที่เห็นแย้งทฤษฎีของนักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้โด่งดัง คือ แอนโธนี รีด [Anthony Reid] ที่เสนอช่วงเวลาแห่ง

การค้าทางทะเลของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ The Early Age of Commerce from 900 to 1300  ซึ่งช่วงนี้อยู่ในระหว่างกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ สืบเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่สำคัญ ซึ่งก็พ้องกับแนวคิดทฤษฎีของอาจารย์ธิดา สาระยา ในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย’6 อันโด่งดัง ที่มีแนวความคิดว่าอาจารย์ธิดา สาระยา สรุปเรื่องพ่อค้าชาวทมิฬในช่วงยุคศรีวิชัยว่า ชุมชนการค้าและเครือข่ายพ่อค้าทมิฬเป็นกลุ่มชนที่พัฒนาตนเองจนกลายเป็นวรรณะไพศยะหรือวรรณะพ่อค้าในสังคมทมิฬ ได้สร้างหมู่บ้านและสมาคมพ่อค้าที่เข้มแข็งเพื่อดำเนินกิจกรรมการค้าทางทะเลและขยายอิทธิพล พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ค้าขาย แต่ยังเป็นผู้ที่มีส่วนในการขยายอำนาจของจักรวรรดิทมิฬ เช่น จักรวรรดิโจฬะออกสู่ทะเล ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายทาง

การค้าและวัฒนธรรมระหว่างฝั่งตะวันออกของอินเดียกับน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วงจรการค้าทะเลใต้’ ที่กว้างกว่าของการค้าในมหาสมุทรอินเดีย ความเชื่อมโยงกับศรีวิชัย 

ซึ่งอาจารย์ธิดามองว่า ศรีวิชัยมีความสำคัญในฐานะเมืองการค้าในช่องแคบมะละกา การเกิดขึ้นและรุ่งเรืองของศรีวิชัยนั้น มีความสัมพันธ์กับการขยายตัวของพ่อค้าเอกชน 


แต่เวดเสนอว่า เกิดขึ้นเพราะการปฏิวัติทางเศรษฐกิจใน ‘สมัยราชวงศ์ซ่งของจีน (.. ๑๕๐๓๑๖๖๙) ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของระบบการเงิน การพัฒนาระบบการเงินใหม่ และนโยบายการค้าต่างประเทศที่ส่งเสริมการค้าทางทะเล รวมทั้งเครือข่ายการค้าของชาวมุสลิมขยายตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้ ส่งเสริมการเชื่อมโยงกับตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ‘สมาคมพ่อค้าทมิฬและ ‘อาณาจักรโจฬะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับตลาดโลก 


ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้คือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ บทบาทการค้าทางทะเลที่มีการเติบโตอย่างมากคือการค้าของชาวมุสลิมที่เป็นชาวเปอร์เซียโบราณ มีการขยายตัวในเส้นทางการค้าจากอาหรับสู่มหาสมุทรอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการตั้งฐานการค้าในอินเดียตอนใต้ ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงตอนใต้ของจีน 


จารึกเขาพระนารายณ์
จารึกเขาพระนารายณ์ เมืองตะกั่วป่า (ศิลาจารึกหลักที่ ๒๖) อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นแผ่นหินทรายสลัก  จารึกด้านเดียว อักษรปัลลวะ ภาษาทมิฬ จำนวน ๖ บรรทัด พบจากโบราณสถานเขาพระนารายณ์ (เขาเวียง) อำเภอกะปง จังหวัดพังงา รายละเอียดคำจารึก •…รวรุมนุ กุ (ณ) (ม)า นุ ตานุ นงคูรโท...(ต) โตฎฎ กุฬมุ เปร ศุรี (อวนิ) นารณมุ มณิกุกิรามตุตารุ (ก) (กุ) มุ เศณามุคตุตารุกุกุม (มุฟุ) ทารุกุกุม อโทกุกลมุ คำแปล สระชื่อศรีอวนินารฌัม ซึ่ง...รวรรมัน  คุณ...ได้ขุดเอง ใกล้ (เมือง) นงคูรอยู่ในการรักษาของสมาชิกแห่งมณิคราม แลของกองทัพระวังหน้า กับชาวไร่ชาวนา....

อย่างไรก็ตามเส้นทางการค้านั้น มักจะพบจากร่องรอยโบราณวัตถุ การบันทึกจากเอกสาร และหลักฐานเรือจม ซึ่งเป็นเรือแบบเครื่องผูก [Sewn Ships]7 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการต่อเรือจากโลกอาหรับ ส่วนซากเรือจมอีกประเภทหนึ่งคือ เรือแบบผูกยึดหรือสันรูเจาะ [Lashed - lug Boats]8 การพัฒนาของเทคโนโลยีการเดินเรือ เช่น การสร้างเรือที่มีความสามารถในการเดินทางไกลและการนำทางที่ดีขึ้น ช่วยให้การค้าทางทะเลระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และด้วยเส้นทางที่มีการบันทึกว่าจะใช้การเดินทางจากมหาสมุทรอินเดีย เข้าทางช่องแคบมะละกา ผ่านปลายสุดของเกาะสุมาตรา หรือผ่านเข้าไปยังช่องแคบซุนดรา ผ่านเกาะชวา แล้วตัดเลียบเกาะกาลิมันตันสู่ชายฝั่งทะเลจีนใต้ แล้วเข้าสู่เมืองท่าทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน ซึ่งเอกสารอาหรับเรียกว่า ‘คันฟู’ [Khanfu/Canfu] เป็นเมืองท่าหลักและศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ที่มีชุมชนชาวเปอร์เซียตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก9   


ดังนั้นจึงพบซากเรือจมแบบเรือเครื่องผูก ซึ่งมักพบในบริเวณทะเลตมที่เป็นชายฝั่งโคลนหรือปากอ่าวโคลนเก่า เช่นที่เมืองท่าโบราณปอนเตียน [Pontian] รัฐปะหัง ชายฝั่งตะวันออกประเทศมาเลเซีย เป็นซากเรือเครื่องผูกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๑๐ เรือปุนจุลหาร์โจ [Punjulharjo] พบที่เมืองเรมบัง [Rembang] เกาะชวา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ และเรือจมเบลิตุง 

[Belitung Wreck] ถึงแม้ว่าตัวเรือจะเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากอาหรับ แต่ก็แสดงถึงเทคนิคการผูกที่เกี่ยวข้องกับการค้าในมหาสมุทรอินเดียในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ส่วนบริเวณบรูไน พบซากเรือในแหล่งโบราณคดีทางบกที่ซูไหง ลีเมา มานิส [Sungai Limau Manis] อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๙


ส่วนที่เมืองบูตูอัน [Butuan] จังหวัดอากูซันเดลนอร์เต บนเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ มีการค้นพบเรือโบราณแบบผูกยึด [Lashed - lug Boats] ที่เรียกว่า ‘บาลางาย’ [Balangay] มากกว่า ๑๐ ลำ อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๒๐ 


เรือพนมสุรินทร์
เรือพนมสุรินทร์ ที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร ต่อเรือคล้ายกับเรือใบที่พบในแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลอาหรับ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ภาพจาก กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร https://www.facebook.com/photo?fbid=1294397664343955&set=pcb.1294397841010604

และที่สำคัญคือแหล่งเรือโบราณพนม-สุรินทร์ พบที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร  ในประเทศไทย ซึ่งพบในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้ง ค่อนข้างห่างจากชายฝั่งทะเลในปัจจุบัน เรือลำนี้ต่อเรือคล้ายกับเรือใบที่พบในแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลอาหรับ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ และเป็นหลักฐานยืนยันนอกเหนือจดหมายเหตุร่วมสมัยว่า มีเรือสินค้าแอบบอาหรับ-เปอร์เซีย เดินทางเลียบชายฝั่งมายังอ่าวไทย ช่วยยืนยันหลักฐานทางโบราณคดีเครื่องถ้วยเปอร์เซียเคลือบสีฟ้า [Turquoise Blue] แบบเปอร์เซียรุ่นแรก ๆ ผลิตแถบแบกแดดในราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ [Abbasid Dynasty] ในช่วงพุทธศตวรรษที่  ๑๔-๑๕ ซึ่งพบตามแหล่งโบราณคดีไม่ไกลกับแนวชายฝั่งอ่าวไทยหลายแห่งในช่วงเวลาเดียวกัน


ส่วนเรือโบราณที่บ้านคลองยวน พบที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรือลำนี้ใช้เทคนิคการต่อเรือแบบผูกยึดหรือสันรูเจาะ [Lashed Lug] ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ถือเป็นตัวอย่างของเรือสินค้าขนาดเล็กที่ผู้เดินเรืออาจจะเป็นคนในกลุ่มออสโตรนีเชียนที่แล่นเรือเลาะไปทั่วในน่านน้ำและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งบริเวณลำคลองจากอ่าวบ้านดอนที่ไชยา ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งผลิตเครื่องประดับในยุคสมัยสุวรรณภูมิ และเป็นท่าเรือที่สำคัญอีกแห่งทั้งในยุคสุวรรณภูมิเรื่อยมาจนถึงช่วงการเดินเรือแบบอาณานิคมชาวตะวันตกที่บริเวณสันทรายของท่าชนะ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี


 ไม้กระดานกระดูกงู พบที่บ้านคลองยวน
 ไม้กระดานกระดูกงู จากเรือโบราณ พบที่บ้านคลองยวน อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรือลำนี้ใช้เทคนิคการต่อเรือแบบผูกยึดหรือสันรูเจาะ [Lashed Lug] อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ภาพจาก กองโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร, https://www.finearts.go.th/archaeunderwater/view/33355-เรือบ้านคลองยวน-ต-ทุ่ง-อ-ไชยา-จ-สุราษฎร์ธานี#lg=1&slide=6

ผู้ชำนาญการเดินเรือชายฝั่งทั้งคาบสมุทรและหมู่เกาะที่เคยเดินเรือไปยังชายฝั่งของอ่าวเบงกอลจนถึงทางจีนตอนใต้ ดังร่องรอยการเรียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ ตามชายฝั่งทะเลนั้นหลายแห่งเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวตะวันตกเข้ามาทำแผนที่ในสมัยอยุธยาตอนปลายก็ยังเรียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ ในภาษามาเลย์กันอยู่ 


กลุ่มผู้ชำนาญทางน้ำและการเดินเรือที่เป็นชาวออสโตรนีเชียน [Austronesian] นั้น ‘ชาวบูกิส’10 ถือว่าเป็นกลุ่มผู้ชำนาญกว่ากลุ่มอื่น ๆ และอาจารย์ธิดา สาระยา ท่านเรียกชื่อโดยรวม ๆ ว่า ‘ชาวน้ำ’ ในหนังสือประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดียของท่าน ซึ่งโดยพื้นฐาน คือ ชาวกลุ่มตระกูลภาษามลาโย-โพลินีเชียน


1 การติดต่อกับจักรวรรดิโจฬะที่มักถูกกล่าวอ้างอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงคือเรื่องจารึกจากแผ่นทองแดง ที่มีการตีความว่ามีการมอบราชรถทองคำ เป็นเครื่องบรรณาการของกษัตริย์แห่งกัมพูชา ซึ่งตรงกับรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แก่พระเจ้าราเชนทรที่ ๑ แห่งโจฬะ ในช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. ๑๕๕๕-๑๕๖๐ ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเกิดสงครามโจฬะ ถูกตีความว่าเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรืออาจเป็นการร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากโจฬะ เพื่อสร้างพันธมิตรในการต่อต้านตามพรลิงค์และศรีวิชัยที่หนุนหลังตามพรลิงค์ แต่ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์นั้น มักเกิดขึ้นมาจากสมาคมพ่อค้ามากกว่าการติดต่อระหว่างรัฐโดยตรง ตามพรลิงค์รุ่งเรืองขึ้นมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ หลังจากยุคของการสงครามกับโจฬะในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ คนละช่วงเวลากัน ซึ่งเป็นการตีความที่ผิดพลาดของศาสตราจารย์เซเดส์ที่นักวิชาการจำนวนมากยังใช้ข้อมูลนี้สร้างงานในเรื่องศรีวิชัยและอำนาจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แห่งกัมพูชา และในภายหลังก็เปลี่ยนแนวคิดและยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการตีความว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ อาจจะมีกำเนิดมาจากนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์จากจารึกพบที่ศาลสูงลพบุรี ในปัจจุบันปรับเปลี่ยนไปแล้ว จากจารึกกล่าวว่าท่านน่าจะมาจากทางตะวันออกของเมืองพระนคร ซึ่งไมเคิล วิกเกอรี่ตีความว่าเป็นทางกลุ่มอังกอร์เบอเรยและทางพนมจีซอ ส่วนอาจารย์ศรีศักร  วัลลิโภดม สันนิษฐานว่าน่าจะมาทางกลุ่มยโสธรและศรีสะเกษ ศรีพฤทเธศวรที่เกี่ยวเนื่องกับทางเขา

พระวิหาร  


2 สามารถสืบย้อนไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๕ ที่อ้างอิงจากแผ่นทองแดงสองแผ่นจากรัฐกรณาฏกะตอนใต้ และยังปรากฏชื่อกลุ่มพ่อค้ามณีครามที่ตะกั่วป่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ด้วย แต่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕  เป็นต้นไป กลุ่มอัยยาโวล ๕๐๐ ก็ขึ้นมาคุมกลุ่มมณีคราม เป็นองค์กรพ่อค้าขนาดใหญ่ที่ควบคุมทุกกลุ่มเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในอินเดียทุกวันนี้ก็ยังมีการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มสมาคมพ่อค้าดำเนินการอยู่


3 พ่อค้าชาวทมิฬกัมที่มาจากมะละบาร์เหล่านี้ น่าจะสืบเนื่องทำหน้าที่ทางการค้าและสื่อสารในราชสำนักของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง มีร่องรอยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเขียนจดหมายสื่อสารทางการค้าและพระราชพิธีของราชสำนักที่เรียกว่า เจนลีฟู ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ก็เขียนพระราชสาสน์ส่งมาเป็นภาษามะละบาร์


4 Duraiswamy Dayalan, "Interaction between Tamilagam and Southeast Asia Perspective," Archaeological survey of India n.d., n. page.


5 Geoff Wade, "An Early Age of Commerce in Southeast Asia, 900-1300 CE.," Journal of Southeast Asian Studies 40, 2 (June 2009): pp 221-265.


6 ธิดา สาระยะ, ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย (นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๔), ไม่ปรากฏหน้า. ซึ่งโดยสรุปคือ การศึกษาความสัมพันธ์และการปะทะสังสรรค์ของผู้คนในดินแดนต่าง ๆ ตั้งแต่ฝั่งทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย ไปจนถึงทะเลจีนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นช่วงเวลาตั้งแต่ต้นคริสตกาลจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ หรือราวต้นพุทธกาลจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งทำให้เห็นพัฒนาการของการค้าขาย ตั้งแต่การค้าชายฝั่งจนถึงการค้าข้ามอารยธรรม บทบาทสำคัญของกลุ่มพ่อค้าทมิฬในฐานะผู้ประกอบการและผู้ขยายอำนาจทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้าในน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วงจรการค้าทะเลใต้ และความสำคัญของศรีวิชัย รวมถึงการค้าจีน


7 เครื่องผูก คือการใช้เชือกหรือวัสดุเส้นใยธรรมชาติผูกยึดแผ่นไม้กระดานเข้าด้วยกัน แทนการใช้ตะปูหรือหมุดโลหะ โดยนำแผ่นไม้มาเจาะรูตามขอบ แล้วใช้เชือกที่ทำจากเส้นใยพืช  เช่น เส้นใยมะพร้าว ร้อยผูกแผ่นไม้เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องตลอดลำเรือ ระหว่างรอยต่อจะมีการใช้วัสดุยาแนวพวกชัน เพื่อป้องกันน้ำซึมเข้าเรือ ทำให้ตัวเรือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถทนทานต่อคลื่นลมแรงในมหาสมุทรอินเดียได้ดีกว่าเรือที่ใช้ตะปูโลหะ นอกจากนี้ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยวัสดุในท้องถิ่น วัสดุที่ใช้มักเป็นไม้เนื้อแข็งในท้องถิ่น เช่น ไม้ตะเคียนทอง หรือไม้เต็งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรือสำเภาอาหรับ [Dhow] ซึ่งเป็นเรือใบเสาเดี่ยวหรือสองเสาที่มีใบเรือสามเหลี่ยม [Lateen Sail] นิยมทำเป็นเรือเครื่องผูก ใน เอิบเปรม และยุวดี วัชรางกูร, SEWN SHIP เรือเครื่องผูก ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์นับพันปี (กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๖๘), ไม่ปรากฏหน้า.


8 เป็นเทคนิคการต่อเรือที่มีต้นกำเนิดและพัฒนาขึ้นในพื้นที่หมู่เกาะและคาบสมุทรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัฒนธรรมที่พูดภาษาออสโตรนีเซียนที่ใช้ในการแพร่กระจายไปทั่วหมู่เกาะอินโด-แปซิฟิก


9 จากข้อมูลในหนังสือ สุนิติ จุฑามาศ, ล่องนาวาเจ็ดสมุทร : ภูมิทัศน์เอเชียอาคเนย์ ในเอกสารอาหรับ–เปอร์เซียศตวรรษที่ ๙-๑๔ (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๖๗), ไม่ปรากฏหน้า. ที่กล่าวถึงเอกสารโบราณอาหรับ-เปอร์เซีย ซึ่งเป็นบันทึกการค้า เส้นทางเดินเรือ และเรื่องเล่าต่าง ๆ  เมืองท่าที่สำคัญ เส้นทางหลักนั้นไม่ผ่านคาบสมุทรและอ่าวไทยแต่อย่างใด


10 ชาวบูกิส ผู้ชำนาญทางน้ำมีต้นกำเนิดจากสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย มีชื่อเสียงในด้านการเดินเรือทั้งเป็นพ่อค้าและรวบรวมสินค้า ทั้งเป็นช่างต่อเรือผู้เชี่ยวชาญ ชาวประมง และบางครั้งก็เป็นโจรสลัด

ชาวบูกิสมีชื่อเสียงจากการสร้างเรือปินิส [Pinisi] ซึ่งเป็นเรือใบแบบดั้งเดิมที่มีเสากระโดงเรือสูงและ

โดดเด่น ที่ยังคงใช้ขนส่งสินค้าจนถึงปัจจุบัน และเมื่อไม่นานมานี้ก็ใช้เพื่อการท่องเที่ยว ชาวบูกิสมี          ชื่อเสียงว่าล่องเรือข้ามหมู่เกาะอินโดนีเซีย ไปจนถึงคาบสมุทรมลายูและอ่าวไทย และไกลถึงฟิลิปปินส์ตอนใต้และออสเตรเลียตอนเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการปรากฏชื่อเรียกสถานที่ เช่น เกาะหรือลำน้ำต่าง ๆ เป็นภาษามลายู ปรากฏติดที่ก่อนการเขียนแผนที่ของชาวตะวันตกจะใช้ ใช้เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาท้องถิ่น ใช้การอ่านดวงดาว รูปแบบลม คลื่น และกระแสน้ำ พวกเขารวบรวมและแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น เครื่องเทศ ไม้จันทน์ ปลิงทะเล และผลิตภัณฑ์จากป่าอื่น ๆ ทำให้ ‘มากัสซาร์’ บนเกาะสุลาเวสีตอนใต้ กลายเป็นเมืองท่าการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ชุมชนชาวบูกิสหลายแห่งอยู่ในบ้านยกเสาสูงริมชายฝั่งหรือบนเรือของตน ในช่วงศตวรรษที่ ๑๗-๑๙ เมื่อการเดินเรือของเจ้าอาณานิคมชาวตะวันตกมาถึง 

ชาวบูกิสส่วนหนึ่งก็กลายเป็นโจรสลัดตามเส้นทางเครื่องเทศ  

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
bottom of page