การถูกโจมตีข้ามอ่าวเบงกอลโดยฝ่ายโจฬะ จุดจบของรัฐการค้าชายฝั่งบริเวณหมู่เกาะของสหพันธรัฐศรีวิชัยและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชาวจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ (๓)
- วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

- 4 days ago
- 2 min read
ชุดบทความ
ความเข้าใจเบื้องต้นต่อบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖

สงครามโจฬะ-ศรีวิชัย เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๑๕๖๘ เป็นการรุกรานทางทะเลโดยจักรพรรดิราเชนทรโจฬะ
ที่ ๑ ทรงนำกองทัพเรือโจฬะเข้าโจมตีศรีวิชัย สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งในการควบคุมเส้นทาง
การค้าในช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ถือเป็นครั้งแรกที่อาณาจักรในอินเดียส่งกองทัพเรือโจมตีภูมิภาคอื่น โจฬะได้รับชัยชนะเหนือศรีวิชัยและสามารถจับกุมกษัตริย์แห่งศรีวิชัยได้ ศรีวิชัยเป็นเจ้าของเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญ คือ ช่องแคบมะละกา บริเวณระหว่างปลายคาบสมุทรมลายูและเกาะสุมาตรา และช่องแคบซุนดา บริเวณระหว่างเกาะสุมาตราและเกาะชวา ซึ่งทำให้สามารถผูกขาด
การค้าและเก็บภาษีจากเรือที่ผ่าน จึงขัดผลประโยชน์กีดกันการค้าระหว่างอินเดียกับจีน นำไปสู่ความไม่พอใจของจักรวรรดิโจฬะ การรุกรานครั้งนี้โจมตีพื้นที่หลายแห่งในอินโดนีเซียและคาบสมุทรมลายู เช่น เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา และเกดาห์ทางฝั่งอันดามันของคาบสมุทรมลายู1

สงครามนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่การสิ้นสุดของ ‘ราชวงศ์ไศเลนทร์’ ที่เคยปกครองบ้านเมืองที่เกาะชวาและช่วยขยายเครือข่ายสมาคมพ่อค้า [Gild] ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีบทบาทเพิ่มขึ้น เช่น
มณีคราม [Manigramam]2 รวมกับกลุ่มอัยยาโวล [Ayyavole] และอนูรูวาล [Ainnurruvar] กลุ่มสมาคมพ่อค้าจาก ‘ทมิฬกัม’ [Tamilakam] ที่แปลว่า แผ่นดินของชาวทมิฬ จากพื้นที่เกรละ แคว้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งมะละบาร์3 ของอินเดีย และมาจากบางส่วนของกรณาฏกะและอานธรประเทศที่ไป
ตั้งมั่นอยู่ในเมืองท่าการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางจีนตอนใต้อยู่หลายกลุ่ม

นักวิชาการชาวอินเดียให้ข้อสังเกตว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชาวทมิฬและดินแดนในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ มีอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งทางความเชื่อ ศาสนา การค้า และวัฒนธรรม โดยเฉพาะเมื่อเกิดสหพันธรัฐศรีวิชัย ก็ยังเพิ่มในเรื่องการเมืองเข้าไปอีก และยังให้ข้อมูลต่อว่า เป็นธรรมเนียมที่พุทธสถานตามเมืองสำคัญและเมืองท่าต่าง ๆ มักได้รับการอุปถัมภ์จากชุมชนและสมาคมพ่อค้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพ่อค้าหรือกษัตริย์จากต่างแดนที่เข้ามาติดต่อการค้ายังอนุทวีป เช่น กรณีวิหารทางพุทธศาสนาที่อุปถัมภ์โดยกษัตริย์แห่งศรีลังกาและกษัตริย์ไศเลนทร์จากศรีวิชัย ซึ่งเชื่อมสัมพันธ์มาจากกลุ่มสมาคมพ่อค้า
ชาวทมิฬ จนถึงสมาคมพ่อค้าชาวฮินดูในช่วงหลังที่ปรากฏจากจารึกเขาพระนารายณ์ เมืองตะกั่วป่า กล่าวถึง Manigramam (มณีคราม) ที่เป็นกลุ่มพ่อค้าสำคัญจากทมิฬนาฑูและเกรละในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๙4

ช่วงเวลาแห่งการค้าในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ นี้ เจฟ เวด [Geoff Wade]5 เสนอบทความที่เห็นแย้งทฤษฎีของนักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผู้โด่งดัง คือ แอนโธนี รีด [Anthony Reid] ที่เสนอช่วงเวลาแห่ง
การค้าทางทะเลของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ The Early Age of Commerce from 900 to 1300 ซึ่งช่วงนี้อยู่ในระหว่างกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ สืบเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่สำคัญ ซึ่งก็พ้องกับแนวคิดทฤษฎีของอาจารย์ธิดา สาระยา ในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย’6 อันโด่งดัง ที่มีแนวความคิดว่าอาจารย์ธิดา สาระยา สรุปเรื่องพ่อค้าชาวทมิฬในช่วงยุคศรีวิชัยว่า ชุมชนการค้าและเครือข่ายพ่อค้าทมิฬเป็นกลุ่มชนที่พัฒนาตนเองจนกลายเป็นวรรณะไพศยะหรือวรรณะพ่อค้าในสังคมทมิฬ ได้สร้างหมู่บ้านและสมาคมพ่อค้าที่เข้มแข็งเพื่อดำเนินกิจกรรมการค้าทางทะเลและขยายอิทธิพล พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ค้าขาย แต่ยังเป็นผู้ที่มีส่วนในการขยายอำนาจของจักรวรรดิทมิฬ เช่น จักรวรรดิโจฬะออกสู่ทะเล ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายทาง
การค้าและวัฒนธรรมระหว่างฝั่งตะวันออกของอินเดียกับน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘วงจรการค้าทะเลใต้’ ที่กว้างกว่าของการค้าในมหาสมุทรอินเดีย ความเชื่อมโยงกับศรีวิชัย
ซึ่งอาจารย์ธิดามองว่า ศรีวิชัยมีความสำคัญในฐานะเมืองการค้าในช่องแคบมะละกา การเกิดขึ้นและรุ่งเรืองของศรีวิชัยนั้น มีความสัมพันธ์กับการขยายตัวของพ่อค้าเอกชน
แต่เวดเสนอว่า เกิดขึ้นเพราะการปฏิวัติทางเศรษฐกิจใน ‘สมัยราชวงศ์ซ่ง’ ของจีน (พ.ศ. ๑๕๐๓–๑๖๖๙) ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของระบบการเงิน การพัฒนาระบบการเงินใหม่ และนโยบายการค้าต่างประเทศที่ส่งเสริมการค้าทางทะเล รวมทั้งเครือข่ายการค้าของชาวมุสลิมขยายตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้ ส่งเสริมการเชื่อมโยงกับตะวันออกกลางและเอเชียใต้ ‘สมาคมพ่อค้าทมิฬ’ และ ‘อาณาจักรโจฬะ’ มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับตลาดโลก
ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้คือราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ บทบาทการค้าทางทะเลที่มีการเติบโตอย่างมากคือการค้าของชาวมุสลิมที่เป็นชาวเปอร์เซียโบราณ มีการขยายตัวในเส้นทางการค้าจากอาหรับสู่มหาสมุทรอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการตั้งฐานการค้าในอินเดียตอนใต้ ศรีลังกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงตอนใต้ของจีน

อย่างไรก็ตามเส้นทางการค้านั้น มักจะพบจากร่องรอยโบราณวัตถุ การบันทึกจากเอกสาร และหลักฐานเรือจม ซึ่งเป็นเรือแบบเครื่องผูก [Sewn Ships]7 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการต่อเรือจากโลกอาหรับ ส่วนซากเรือจมอีกประเภทหนึ่งคือ เรือแบบผูกยึดหรือสันรูเจาะ [Lashed - lug Boats]8 การพัฒนาของเทคโนโลยีการเดินเรือ เช่น การสร้างเรือที่มีความสามารถในการเดินทางไกลและการนำทางที่ดีขึ้น ช่วยให้การค้าทางทะเลระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และด้วยเส้นทางที่มีการบันทึกว่าจะใช้การเดินทางจากมหาสมุทรอินเดีย เข้าทางช่องแคบมะละกา ผ่านปลายสุดของเกาะสุมาตรา หรือผ่านเข้าไปยังช่องแคบซุนดรา ผ่านเกาะชวา แล้วตัดเลียบเกาะกาลิมันตันสู่ชายฝั่งทะเลจีนใต้ แล้วเข้าสู่เมืองท่าทางตอนใต้ของจีนแถบมณฑลกวางตุ้งในปัจจุบัน ซึ่งเอกสารอาหรับเรียกว่า ‘คันฟู’ [Khanfu/Canfu] เป็นเมืองท่าหลักและศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่ที่มีชุมชนชาวเปอร์เซียตั้งถิ่นฐานอยู่จำนวนมาก9
ดังนั้นจึงพบซากเรือจมแบบเรือเครื่องผูก ซึ่งมักพบในบริเวณทะเลตมที่เป็นชายฝั่งโคลนหรือปากอ่าวโคลนเก่า เช่นที่เมืองท่าโบราณปอนเตียน [Pontian] รัฐปะหัง ชายฝั่งตะวันออกประเทศมาเลเซีย เป็นซากเรือเครื่องผูกที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๑๐ เรือปุนจุลหาร์โจ [Punjulharjo] พบที่เมืองเรมบัง [Rembang] เกาะชวา มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ และเรือจมเบลิตุง
[Belitung Wreck] ถึงแม้ว่าตัวเรือจะเป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากอาหรับ แต่ก็แสดงถึงเทคนิคการผูกที่เกี่ยวข้องกับการค้าในมหาสมุทรอินเดียในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ส่วนบริเวณบรูไน พบซากเรือในแหล่งโบราณคดีทางบกที่ซูไหง ลีเมา มานิส [Sungai Limau Manis] อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๙
ส่วนที่เมืองบูตูอัน [Butuan] จังหวัดอากูซันเดลนอร์เต บนเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ มีการค้นพบเรือโบราณแบบผูกยึด [Lashed - lug Boats] ที่เรียกว่า ‘บาลางาย’ [Balangay] มากกว่า ๑๐ ลำ อายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๒๐

และที่สำคัญคือแหล่งเรือโบราณพนม-สุรินทร์ พบที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ในประเทศไทย ซึ่งพบในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้ง ค่อนข้างห่างจากชายฝั่งทะเลในปัจจุบัน เรือลำนี้ต่อเรือคล้ายกับเรือใบที่พบในแถบมหาสมุทรอินเดียและทะเลอาหรับ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ และเป็นหลักฐานยืนยันนอกเหนือจดหมายเหตุร่วมสมัยว่า มีเรือสินค้าแอบบอาหรับ-เปอร์เซีย เดินทางเลียบชายฝั่งมายังอ่าวไทย ช่วยยืนยันหลักฐานทางโบราณคดีเครื่องถ้วยเปอร์เซียเคลือบสีฟ้า [Turquoise Blue] แบบเปอร์เซียรุ่นแรก ๆ ผลิตแถบแบกแดดในราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ [Abbasid Dynasty] ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ซึ่งพบตามแหล่งโบราณคดีไม่ไกลกับแนวชายฝั่งอ่าวไทยหลายแห่งในช่วงเวลาเดียวกัน
ส่วนเรือโบราณที่บ้านคลองยวน พบที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เรือลำนี้ใช้เทคนิคการต่อเรือแบบผูกยึดหรือสันรูเจาะ [Lashed Lug] ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ถือเป็นตัวอย่างของเรือสินค้าขนาดเล็กที่ผู้เดินเรืออาจจะเป็นคนในกลุ่มออสโตรนีเชียนที่แล่นเรือเลาะไปทั่วในน่านน้ำและหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งบริเวณลำคลองจากอ่าวบ้านดอนที่ไชยา ซึ่งสามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งผลิตเครื่องประดับในยุคสมัยสุวรรณภูมิ และเป็นท่าเรือที่สำคัญอีกแห่งทั้งในยุคสุวรรณภูมิเรื่อยมาจนถึงช่วงการเดินเรือแบบอาณานิคมชาวตะวันตกที่บริเวณสันทรายของท่าชนะ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ผู้ชำนาญการเดินเรือชายฝั่งทั้งคาบสมุทรและหมู่เกาะที่เคยเดินเรือไปยังชายฝั่งของอ่าวเบงกอลจนถึงทางจีนตอนใต้ ดังร่องรอยการเรียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ ตามชายฝั่งทะเลนั้นหลายแห่งเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวตะวันตกเข้ามาทำแผนที่ในสมัยอยุธยาตอนปลายก็ยังเรียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ ในภาษามาเลย์กันอยู่
กลุ่มผู้ชำนาญทางน้ำและการเดินเรือที่เป็นชาวออสโตรนีเชียน [Austronesian] นั้น ‘ชาวบูกิส’10 ถือว่าเป็นกลุ่มผู้ชำนาญกว่ากลุ่มอื่น ๆ และอาจารย์ธิดา สาระยา ท่านเรียกชื่อโดยรวม ๆ ว่า ‘ชาวน้ำ’ ในหนังสือประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดียของท่าน ซึ่งโดยพื้นฐาน คือ ชาวกลุ่มตระกูลภาษามลาโย-โพลินีเชียน
1 การติดต่อกับจักรวรรดิโจฬะที่มักถูกกล่าวอ้างอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงคือเรื่องจารึกจากแผ่นทองแดง ที่มีการตีความว่ามีการมอบราชรถทองคำ เป็นเครื่องบรรณาการของกษัตริย์แห่งกัมพูชา ซึ่งตรงกับรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แก่พระเจ้าราเชนทรที่ ๑ แห่งโจฬะ ในช่วงเวลาประมาณปี พ.ศ. ๑๕๕๕-๑๕๖๐ ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเกิดสงครามโจฬะ ถูกตีความว่าเป็นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรืออาจเป็นการร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากโจฬะ เพื่อสร้างพันธมิตรในการต่อต้านตามพรลิงค์และศรีวิชัยที่หนุนหลังตามพรลิงค์ แต่ส่วนใหญ่ความสัมพันธ์นั้น มักเกิดขึ้นมาจากสมาคมพ่อค้ามากกว่าการติดต่อระหว่างรัฐโดยตรง ตามพรลิงค์รุ่งเรืองขึ้นมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ หลังจากยุคของการสงครามกับโจฬะในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ คนละช่วงเวลากัน ซึ่งเป็นการตีความที่ผิดพลาดของศาสตราจารย์เซเดส์ที่นักวิชาการจำนวนมากยังใช้ข้อมูลนี้สร้างงานในเรื่องศรีวิชัยและอำนาจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แห่งกัมพูชา และในภายหลังก็เปลี่ยนแนวคิดและยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการตีความว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ อาจจะมีกำเนิดมาจากนครศรีธรรมราชหรือตามพรลิงค์จากจารึกพบที่ศาลสูงลพบุรี ในปัจจุบันปรับเปลี่ยนไปแล้ว จากจารึกกล่าวว่าท่านน่าจะมาจากทางตะวันออกของเมืองพระนคร ซึ่งไมเคิล วิกเกอรี่ตีความว่าเป็นทางกลุ่มอังกอร์เบอเรยและทางพนมจีซอ ส่วนอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม สันนิษฐานว่าน่าจะมาทางกลุ่มยโสธรและศรีสะเกษ ศรีพฤทเธศวรที่เกี่ยวเนื่องกับทางเขา
พระวิหาร
2 สามารถสืบย้อนไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๕ ที่อ้างอิงจากแผ่นทองแดงสองแผ่นจากรัฐกรณาฏกะตอนใต้ และยังปรากฏชื่อกลุ่มพ่อค้ามณีครามที่ตะกั่วป่า ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ด้วย แต่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นไป กลุ่มอัยยาโวล ๕๐๐ ก็ขึ้นมาคุมกลุ่มมณีคราม เป็นองค์กรพ่อค้าขนาดใหญ่ที่ควบคุมทุกกลุ่มเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในอินเดียทุกวันนี้ก็ยังมีการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มสมาคมพ่อค้าดำเนินการอยู่
3 พ่อค้าชาวทมิฬกัมที่มาจากมะละบาร์เหล่านี้ น่าจะสืบเนื่องทำหน้าที่ทางการค้าและสื่อสารในราชสำนักของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่ง มีร่องรอยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเขียนจดหมายสื่อสารทางการค้าและพระราชพิธีของราชสำนักที่เรียกว่า เจนลีฟู ในสมัยราชวงศ์ซ่ง ก็เขียนพระราชสาสน์ส่งมาเป็นภาษามะละบาร์
4 Duraiswamy Dayalan, "Interaction between Tamilagam and Southeast Asia Perspective," Archaeological survey of India n.d., n. page.
5 Geoff Wade, "An Early Age of Commerce in Southeast Asia, 900-1300 CE.," Journal of Southeast Asian Studies 40, 2 (June 2009): pp 221-265.
6 ธิดา สาระยะ, ประวัติศาสตร์มหาสมุทรอินเดีย (นนทบุรี : เมืองโบราณ, ๒๕๕๔), ไม่ปรากฏหน้า. ซึ่งโดยสรุปคือ การศึกษาความสัมพันธ์และการปะทะสังสรรค์ของผู้คนในดินแดนต่าง ๆ ตั้งแต่ฝั่งทะเลแดง อ่าวเปอร์เซีย ไปจนถึงทะเลจีนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นช่วงเวลาตั้งแต่ต้นคริสตกาลจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ หรือราวต้นพุทธกาลจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งทำให้เห็นพัฒนาการของการค้าขาย ตั้งแต่การค้าชายฝั่งจนถึงการค้าข้ามอารยธรรม บทบาทสำคัญของกลุ่มพ่อค้าทมิฬในฐานะผู้ประกอบการและผู้ขยายอำนาจทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้าในน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วงจรการค้าทะเลใต้ และความสำคัญของศรีวิชัย รวมถึงการค้าจีน
7 เครื่องผูก คือการใช้เชือกหรือวัสดุเส้นใยธรรมชาติผูกยึดแผ่นไม้กระดานเข้าด้วยกัน แทนการใช้ตะปูหรือหมุดโลหะ โดยนำแผ่นไม้มาเจาะรูตามขอบ แล้วใช้เชือกที่ทำจากเส้นใยพืช เช่น เส้นใยมะพร้าว ร้อยผูกแผ่นไม้เข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องตลอดลำเรือ ระหว่างรอยต่อจะมีการใช้วัสดุยาแนวพวกชัน เพื่อป้องกันน้ำซึมเข้าเรือ ทำให้ตัวเรือมีความยืดหยุ่นสูง สามารถทนทานต่อคลื่นลมแรงในมหาสมุทรอินเดียได้ดีกว่าเรือที่ใช้ตะปูโลหะ นอกจากนี้ยังสามารถซ่อมแซมได้ง่ายด้วยวัสดุในท้องถิ่น วัสดุที่ใช้มักเป็นไม้เนื้อแข็งในท้องถิ่น เช่น ไม้ตะเคียนทอง หรือไม้เต็งในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรือสำเภาอาหรับ [Dhow] ซึ่งเป็นเรือใบเสาเดี่ยวหรือสองเสาที่มีใบเรือสามเหลี่ยม [Lateen Sail] นิยมทำเป็นเรือเครื่องผูก ใน เอิบเปรม และยุวดี วัชรางกูร, SEWN SHIP เรือเครื่องผูก ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์นับพันปี (กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๖๘), ไม่ปรากฏหน้า.
8 เป็นเทคนิคการต่อเรือที่มีต้นกำเนิดและพัฒนาขึ้นในพื้นที่หมู่เกาะและคาบสมุทรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มวัฒนธรรมที่พูดภาษาออสโตรนีเซียนที่ใช้ในการแพร่กระจายไปทั่วหมู่เกาะอินโด-แปซิฟิก
9 จากข้อมูลในหนังสือ สุนิติ จุฑามาศ, ล่องนาวาเจ็ดสมุทร : ภูมิทัศน์เอเชียอาคเนย์ ในเอกสารอาหรับ–เปอร์เซียศตวรรษที่ ๙-๑๔ (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, ๒๕๖๗), ไม่ปรากฏหน้า. ที่กล่าวถึงเอกสารโบราณอาหรับ-เปอร์เซีย ซึ่งเป็นบันทึกการค้า เส้นทางเดินเรือ และเรื่องเล่าต่าง ๆ เมืองท่าที่สำคัญ เส้นทางหลักนั้นไม่ผ่านคาบสมุทรและอ่าวไทยแต่อย่างใด
10 ชาวบูกิส ผู้ชำนาญทางน้ำมีต้นกำเนิดจากสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย มีชื่อเสียงในด้านการเดินเรือทั้งเป็นพ่อค้าและรวบรวมสินค้า ทั้งเป็นช่างต่อเรือผู้เชี่ยวชาญ ชาวประมง และบางครั้งก็เป็นโจรสลัด
ชาวบูกิสมีชื่อเสียงจากการสร้างเรือปินิส [Pinisi] ซึ่งเป็นเรือใบแบบดั้งเดิมที่มีเสากระโดงเรือสูงและ
โดดเด่น ที่ยังคงใช้ขนส่งสินค้าจนถึงปัจจุบัน และเมื่อไม่นานมานี้ก็ใช้เพื่อการท่องเที่ยว ชาวบูกิสมี ชื่อเสียงว่าล่องเรือข้ามหมู่เกาะอินโดนีเซีย ไปจนถึงคาบสมุทรมลายูและอ่าวไทย และไกลถึงฟิลิปปินส์ตอนใต้และออสเตรเลียตอนเหนือ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการปรากฏชื่อเรียกสถานที่ เช่น เกาะหรือลำน้ำต่าง ๆ เป็นภาษามลายู ปรากฏติดที่ก่อนการเขียนแผนที่ของชาวตะวันตกจะใช้ ใช้เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาท้องถิ่น ใช้การอ่านดวงดาว รูปแบบลม คลื่น และกระแสน้ำ พวกเขารวบรวมและแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น เครื่องเทศ ไม้จันทน์ ปลิงทะเล และผลิตภัณฑ์จากป่าอื่น ๆ ทำให้ ‘มากัสซาร์’ บนเกาะสุลาเวสีตอนใต้ กลายเป็นเมืองท่าการค้าที่เจริญรุ่งเรือง ชุมชนชาวบูกิสหลายแห่งอยู่ในบ้านยกเสาสูงริมชายฝั่งหรือบนเรือของตน ในช่วงศตวรรษที่ ๑๗-๑๙ เมื่อการเดินเรือของเจ้าอาณานิคมชาวตะวันตกมาถึง
ชาวบูกิสส่วนหนึ่งก็กลายเป็นโจรสลัดตามเส้นทางเครื่องเทศ

![ชุมชนใกล้ชายฝั่งแบบนครรัฐแรกเริ่ม [Thalasocracy] (๒)1](https://static.wixstatic.com/media/9512c9_fc20b099a1d64e2ebf3fd6afc85aa1dd~mv2.png/v1/fill/w_980,h_551,al_c,q_90,usm_0.66_1.00_0.01,enc_avif,quality_auto/9512c9_fc20b099a1d64e2ebf3fd6afc85aa1dd~mv2.png)
Comments