ชุมชนใกล้ชายฝั่งแบบนครรัฐแรกเริ่ม [Thalasocracy] (๒)1
- วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

- Nov 22
- 3 min read
ชุดบทความ
ความเข้าใจเบื้องต้นต่อบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๖

มีนักวิชาการหลายท่านกล่าวถึงแนวคิดที่สังเกตได้จากการปกครองของอินเดียโบราณเรื่องระบบ
มัณฑละ2 แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ แนวคิดของศาสตราจารย์ โอ. ดับเบิลยู. โวลเตอร์ส [Prof. O.W Wolters] เป็นท่านแรกที่เสนอแนวคิดทางการปกครองของกษัตริย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคแรกเริ่มว่า มีมานานก่อนวัฒนธรรมแบบฮินดูจะแพร่เข้ามา

มัณฑละ ไม่ได้หมายถึงรัฐหรืออาณาจักรที่มีขอบเขตทางภูมิศาสตร์ชัดเจน แต่หมายถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ทางการเมืองที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ปกครองหรือ ‘กษัตริย์ผู้นำสูงสุด’ ซึ่งมีอำนาจเหนือผู้ปกครองในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้ใช้การควบคุมการปกครองระบบรวมศูนย์ แต่ขึ้นกับบารมีของกษัตริย์พระองค์นั้น อันได้แก่ การจงรักภักดีและการยอมรับในอำนาจ เป็นระบบที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้ปกครองและผู้ใต้ปกครอง รวมถึงระหว่างผู้ปกครองในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ต่อเนื่องที่ไม่ตายตัว หากเมื่อกษัตริย์ที่มีอำนาจเข้มแข็งสิ้นพระชนม์ ระบบมัณฑละมักล่มสลาย หัวเมืองต่าง ๆ จะกลับไปสู่สถานะอิสระ ซึ่งถือเป็นการวิเคราะห์ที่สำคัญสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากแนวคิดของฝ่ายนักวิชาการในยุคอาณานิคมโดยเฉพาะในกลุ่มชาวฝรั่งเศส3
แนวคิดการปกครองแบบ ‘มัณฑละ’ [Mandala] จากศาสตราจารย์โวลเตอร์สนั้น เหมาะสมกับ
สภาพแวดล้อมแบบนครรัฐทางทะเลยุคเริ่มแรก เพราะเห็นบ้านเมืองตามชายฝั่งทะเลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าเป็นเมืองท่าขนาดเล็ก โดยใช้ชื่อเรียกว่าเป็นการปกครองของนครรัฐที่อยู่ตามชายฝั่งทะเลและสืบเนื่องมาจากการค้าโพ้นทะเล ซึ่งสถานที่ตั้งอาจจะอยู่ใกล้กับปากแม่น้ำหรืออยู่ไกลเข้าไปทั้งใกล้และไกลที่สามารถใช้เส้นทางน้ำเชื่อมติดต่อกันได้สะดวก และเรียกว่าเป็นบ้านเมืองแบบ ‘Thalasocracy’ ไม่ใช่แบบอาณาจักรที่ระบบปกครองแบบรวมศูนย์หรือ ‘Kingdom’ ซึ่งเป็นการมองดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านแว่นของนักเดินทางหรือนักบันทึกจดหมายเหตุชาวจีน ที่นำเอาระบบการปกครองแบบที่พวกตนคุ้นเคยและนำศัพท์ของตนมาใช้ เทียบกันไม่ได้กับสภาพจริงของบ้านเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทั้งหลักฐานทางโบราณคดีและจดหมายเหตุต่าง ๆ รวมทั้งการปกครองในช่วงระยะหลังลงมา ก็ยังมีความแตกต่างไปจากระบบราชอาณาจักรที่มีการจัดการปกครองแบบรวมศูนย์อย่างชัดเจน
พิจารณาในเขตดินแดนคาบสมุทรและผืนแผ่นดินใหญ่

ยุคสุวรรณภูมิ
ช่วงนี้การเดินเรือ ใช้วิธีเดินเรือเลียบชายฝั่งจากอ่าวเบงกอลทางตอนเหนือในเขตปากน้ำคงคา ผ่าน
อ่าวเบงกอลของบังกลาเทศ และตัดสู่ปลายแหลมของอ่าวอิรวดี ซึ่งเลียบตามแนวแผ่นดินก็คือทะเลอันดามัน ใช้เส้นทางเดินทางข้ามคาบสมุทร บริเวณช่วงที่มีพื้นที่ตัดข้ามน้อยที่สุด ซึ่งเรียกว่าบริเวณ ‘คอคอดกระ’ ทางฝั่งอันดามัน อยู่ระหว่างแนวคลองหนู เขาขะเมายี้ ตัดออกสู่ลำน้ำท่าตะเภาและปากน้ำบริเวณเมืองชุมพร และทางใต้ลงถึงปากน้ำบางกล้วยและภูเขาทอง ในอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง
ข้ามมาแถบลำน้ำไชยา ตัดเข้าลำน้ำท่าชนะ ในอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งอยู่บริเวณอ่าวไทย

เพราะพบร่องรอยเครือข่ายทางการค้าและศาสนาระหว่างคาบสมุทรสยามและบ้านเมืองในอนุทวีปชายฝั่งอ่าวเบงกอลตั้งแต่ตอนเหนือถึงตอนใต้ ซึ่งน่าจะเริ่มในช่วงราชวงศ์โมริยะ [Maurya] ราวพุทธศตวรรษที่
๓-๔ และช่วงที่ติดต่อสูงสุดของการผลิตและการค้าอยู่ระหว่างราชวงศ์โมริยะ-ศุงคะในแถบอินเดียตะวันออกตอนเหนือราวพุทธศตวรรษที่ ๔-๗ และราชวงศ์สาตวาหนะในอานธรประเทศตอนใต้และอินเดียตอนกลางราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๔-๘ เป็นการเชื่อมต่อการค้าข้ามภูมิภาคอย่างน้อยตั้งแต่ยุคเหล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งร่วมสมัยกับวัฒนธรรมดงเซิน [Dong Son] ตอนปลายในเวียดนามตอนเหนือและตอนกลาง และวัฒนธรรมแบบซ่าหวิงก์ [Sa Hyunh] ทางเวียดนามตอนกลางและตอนใต้ กลุ่มผู้ผลิตหินกึ่งรัตนชาติ หยกไต้หวัน [Nephrite] จากเกาะไต้หวัน รวมถึงวัฒนธรรมแบบชาวหมู่เกาะที่มีลวดลายเครื่องปั้นดินเผาแบบคาลานาย [Kalanay] จากหมู่เกาะฟิลิปปินส์ อาทิ มโหระทึกสัมฤทธิ์ เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องประดับที่มีต้นทางจากเวียดนามและฟิลิปปินส์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมีอายุโดยรวมในราว
พุทธศตวรรษที่ ๑-๗

จะเห็นว่าในช่วงต้นพุทธกาลคลื่นแห่งการแสวงหาทรัพยากรและเครือข่ายทางการค้าแลกเปลี่ยนจาก
อนุทวีป เริ่มเข้ามาเชื่อมต่อกับดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเข้มข้นแล้ว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเผยแผ่พุทธศาสนาจากทางเมืองท่าและเมืองศูนย์กลางทางพุทธศาสนาที่อยู่ในบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแถบชายฝั่งอ่าวเบงกอล จากโบราณวัตถุที่คล้ายกันและเป็นเอกลักษณ์เด่นของชุมชนที่นับถือพุทธศาสนาระยะต้นพุทธกาลที่เด่นชัด เช่น ชิ้นส่วนของภาชนะดินเผาแบบลายกดประทับเป็นรอยขีดแบบสม่ำเสมอ [Rouletted Wares] แบบเนื้อละเอียดสีดำแดง [Fine Wares] แบบสีดำขัดมัน [Black Polished Wares] ภาชนะสัมฤทธิ์-ดินเผาแบบมีปุ่มด้านใน [Knobbed Wares] ลูกปัดและเครื่องประดับในระบบสัญลักษณ์ทางศาสนาและจากเส้นทางการค้ากรีก-โรมันทำจากหินและรัตนชาติ ซึ่งพบตามแหล่งโบราณคดีที่เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนารวมถึงเมืองท่าตามชายฝั่งทั้งอันดามันและอ่าวไทยในคาบสมุทรสยาม


เป็นที่ทราบกันดีว่าในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์โมริยะทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พุทธศาสนาโดยแบ่งเป็น ๙ สาย สายที่ ๘ มาเผยแผ่ที่ ‘สุวรรณภูมิ’ โดยพระโสณะและพระอุตระเป็นสมณทูต น่าจะโดยสารกองเรือที่มีภารกิจในการเผยแผ่ศาสนาความเชื่อไปสู่บ้านเมืองต่าง ๆ ตามบันทึกเรื่องมหาวงศ์ เป็นเหตุการณ์ยุคต้นของศรีลังกาที่นำเอาคำบอกเล่า พงศาวดารและตำราวัดต่าง ๆ มาเขียนขึ้นใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๕ อันเป็นช่วงพ้นสมัยไปจากยุคพระเจ้าอโศกฯ แต่มีหลักฐานจารึกตราประทับอักษรพราหมี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๓ พบที่อนุราธปุระโดยพ่อค้าชาวทมิฬก็คือชาวเรือผู้สร้างพระสถูปบรรจุเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าในดินแดนที่พวกเขาต้องการมาทำการค้า แต่ในประเทศไทย นักวิชาการไทยบางส่วนยังเห็นว่าเรื่องราวในมหาวงศ์นี้ เป็นเรื่องแต่งขึ้นภายหลังและไม่ให้น้ำหนักแก่การเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ว่า มีสมณทูตจากอนุทวีปมาเผยแผ่พุทธศาสนายังสุวรรณภูมิเพราะมหาวงศ์เป็นเรื่องแต่งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๕ เท่านั้น

ยุคฟูนัน-ทวารวดี
บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง พบในกลุ่มที่เรียกว่า ‘ฝู่หนาน’ หรือ ‘ฟูนัน’ เพราะอยู่เขตภูเขาใกล้กับชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยไปจนถึงเทือกเขากลุ่มใหญ่ที่เรียงเป็นแนวยาวท่ามกลางพื้นที่ราบลุ่มใกล้
ปากแม่น้ำที่เรียกว่า Seven Moutains ถือเป็นกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่อยู่ในจังหวัด
อันยาง [An Giang] ติดกับประเทศกัมพูชา ซึ่งมักพบศาสนสถานใกล้กับภูเขาหินปูนที่ตั้งอยู่บนที่ราบ รวมทั้งที่อยู่ภายในถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานทั้งพุทธศาสนาและฮินดู
ที่สำคัญคือบริเวณปราสาทพนมดาและกลุ่มปราสาทที่ใช้ถ้ำตามภูเขาเตี้ย ๆ ใกล้กับชายฝั่งทะเล โดยมีการศึกษาทางโบราณคดีที่ ‘เมืองออกแอว’ และ ‘อังกอร์เบอเรย’ เป็นสำคัญ
จากเอกสารจดหมายเหตุจีน ฟูนันทำการค้าขายกับทั้งอินเดียและจีน ส่งบรรณาการแด่จักรพรรดิจีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๘ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๑ มีเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ พระราชวัง ระบบชลประทานที่กว้างขวางสำหรับการเพาะปลูกข้าว และสภาพแวดล้อมทางจิตวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถาปัตยกรรมและสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดูและพุทธ คำลงท้ายพระนามกษัตริย์ฟูนันว่า ‘วรมัน’ ซึ่งผู้ที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์ของอินเดียนิยมใช้กัน4
จดหมายเหตุสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งคณะทูตจีนที่เดินทางไปยังดินแดนแถบฟูนันในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ กล่าวเพียงว่า ฟูนันพ่ายแพ้แก่พวกเจนละ และต่อมากษัตริย์ของเจนละหรือมีศูนย์กลางที่เมืองพระนครในเวลาต่อมา กษัตริย์ทุกพระองค์ที่นครวัด ถือว่าพระองค์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์แห่งเมืองวยาธปุระทั้งสิ้น
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองออกแอว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ โดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส Louis Mallaret เสนอว่าเป็นศูนย์กลางของฟูนัน และเป็นศูนย์รวมการค้าสำคัญ มีระบบคูคลองขนาดใหญ่เชื่อมโยงกับ
ชุมชนอื่น ๆ และน่าจะเคยมีเส้นทางคูคลองขุดดังกล่าวออกสู่ทะเลได้ พบโบราณวัตถุจำนวนมากที่มีอิทธิพลจากอินเดียและโรมัน เช่น ภาชนะดินเผา เครื่องประดับ เหรียญ และจารึกภาษาสันสกฤตซึ่งอยู่ในช่วงอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ส่วนการขุดค้นที่อังกอร์เบอเรย กำหนดอายุจากเครื่องถ้วยว่ามีอายุราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๗
แนวความคิดเรื่องโครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่พบจากออกแอวของ ดับบลิว. เจ. แวนเลอ
[W. J. Van Liere] กล่าวว่าไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นโครงสร้างชลประทานขนาดใหญ่ อาจเป็นคูคลองป้องกันเมือง ส่วนการปลูกข้าวยังอาศัยฤดูกาลทางธรรมชาติ ใช้การชลประทานขนาดเล็กที่ชาวบ้านทำเองในขนาดเพียงพอหรือพอประมาณ
ศาสตราจารย์ โอ. ดับเบิลยู. โวลเตอร์ส [O. W. Wolters] มองว่า ฟูนันไม่ได้เป็นอาณาจักรที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์ แต่เป็นเครือข่ายของเมืองท่าที่มีความสัมพันธ์หลวม ๆ แห่งหนึ่ง [Thalasocracy] ที่รับอิทธิพลการค้าจากแถบอมราวดี ส่วนเรื่องการเข้ามาของชาวอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะเริ่มที่พ่อค้าเข้ามาก่อน โดยมาติดต่อกับผู้ปกครอง แล้วพราหมณ์จึงตามเข้ามาทีหลัง
‘ฟูนัน’ น่าจะเป็นกลุ่มบ้านเมืองที่เกิดเนื่องมาจากการค้าทางทะเล รวมกลุ่มคนในระดับเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มีหัวหน้าใหญ่ ซึ่งได้มาโดยการยกย่องหัวหน้าเผ่าบางคนขึ้นมา โดยดูจากความสามารถส่วนตัว หัวหน้าใหญ่คนนี้ก็จะมีอำนาจอยู่ในชั่วอายุของตนเองเท่านั้น เมื่อตายไปแล้วอำนาจก็สิ้นสุดไม่ตกทอดถึงทายาท
เรื่องราวการสถาปนาอาณาจักร ‘ฝู่หนาน’ หรือ ฟูนัน [Funan] เป็นตำนานที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุจีนหลายฉบับ5 ที่มีการกล่าวถึง พราหมณ์โกณฑัญญะ [Kaundinya] หรือ ฮั่นเทียน [Hun-t’ien] กับ เจ้าหญิงหลิวเย่ [Liu-ye] ซึ่งตำนานทำนองนี้หมายถึงการรับวัฒนธรรมจากคลื่นการเดินทางจากภายนอกที่ผ่าน
เส้นทางการค้าและการเผยแผ่ทางความเชื่อรวมทั้งวัฒนธรรม ซึ่งตำนานทำนองนี้พบได้ทั่วไปในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สถาปนารัฐฟูนันขึ้น เป็นรัฐแบบฮินดูที่ทรงอำนาจและได้ส่งบรรณาการมายังจีน สถาปนาเมืองหลวงคือ ‘วยาธปุระ’6
จดหมายเหตุจีนสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นบันทึกว่า ‘...ต่อมาอีกหลายปี ขุนพลฟันซีมัน [Fan Shihman] ขึ้นเป็นเจ้าครองนครฟูนัน ทรงขยายอาณาจักรฟูนันออกไปอย่างกว้างขวาง สามารถยึดครองอาณาจักร
ฉูตูคุณ จิวจิ และเตียนซุน...’ ซึ่งน่าจะอยู่บริเวณใกล้กับชายฝั่งทะเล ซึ่งนักวิชาการในอดีตสันนิษฐานว่าอาจจะมีบ้านเมืองในแถบอ่าวไทย เช่น เมืองอู่ทอง ซึ่งพบโบราณวัตถุร่วมสมัยกับยุคฟูนันด้วย7
ที่เมืองโบราณอู่ทอง ถือเป็นเมืองโบราณแบบเมืองท่าภายใน แต่มีเส้นทางน้ำติดต่อกับพื้นที่ลาดลุ่มในแอ่งเจ้าพระยาเดลต้า โดยตั้งอยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของลุ่มเจ้าพระยา ประติมากรรมดินเผารูปภิกษุอุ้มบาตร ๓ องค์ เป็นอิทธิพลศิลปะอมราวดีที่ลักษณะการครองจีวรเป็นริ้วขนาดใหญ่ อายุราวพุทธศตวรรษที่
๙-๑๐ โบราณวัตถุชิ้นนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในดินแดนไทย เพราะเป็นงานที่สร้างขึ้นเองในท้องถิ่น ส่วนชิ้นส่วนของพระพุทธรูปปูนปั้น เป็นพระพุทธรูปนาคปรกที่เหลืออยู่เฉพาะส่วนพระเพลาและขนดนาค จากลักษณะของท่าประทับขัดสมาธิราบโดยข้อพระบาทไขว้กันอย่างหลวม ๆ เป็นแบบที่พบอยู่ทั่วไปในสมัยอมราวดี เช่นที่นาคารชุนโกณฑะ และการทำพระพุทธรูปขัดสมาธิอย่างหลวม ๆ ยังเป็นรูปแบบที่พบอยู่โดยทั่ว ๆ ไปของพระพุทธรูปนั่งในสมัยทวารวดีในแถบอีสานด้วย8
ส่วนการสืบต่อมาที่กล่าวถึงชื่อของ ‘เจนละ’ ไมเคิล วิกเกอรี่ [Michael Theodore Vickery]9 เสนอบทความเป็นข้อสันนิษฐานว่า การเกิดขึ้นของเจนละตามจดหมายเหตุจีนดังที่กล่าวมาแล้ว ฟูนันและ
เจนละมีปฏิสัมพันธ์ผ่านกระบวนการพิชิตและการผสมผสาน เจนละซึ่งเดิมเป็นเมืองขึ้นของฟูนันได้เติบโตจนสามารถล้มล้างอำนาจของฟูนันได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เนื่องจากเจนละ ยังคงรักษาองค์ประกอบของระบบการปกครองและวัฒนธรรมของฟูนันไว้ ซึ่งนำไปสู่ความต่อเนื่องระหว่างสองอาณาจักร
จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง [Liang Shu] และราชวงศ์สุย [Sui Shu] ราวปี พ.ศ. ๑๑๕๙-๑๑๖๐ กล่าวว่าเมืองหลวงของฟูนันถูกโจมตีโดยเจนละ ทำให้กษัตริย์ฟูนันต้องหลบหนีไปทางตอนใต้ยังเมืองที่เรียกว่า
‘นาฟูนา’10 ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองอังกอร์เบอเรย กษัตริย์ของเจนละคือ ‘จิตรเสน’11 ที่ต่อมารู้จักในชื่อ ‘มเหนทรวรมัน’ เริ่มแสดงอำนาจเหนือกลุ่มเมืองฟูนันในเขตใกล้ชายฝั่งทะเล แหล่งที่มาของกลุ่ม
จิตรเสนและกลุ่มที่สืบทอดอำนาจต่อเนื่องมานั้น คือ ‘อีศานวรมัน’ ตั้งเมืองหลวงที่ ‘อีศานปุระ’ ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคือเมืองที่ ‘สมบูรณ์ไพรกุกหรือสมโบร์ไพรกุก’ พื้นที่ป่าบนเนินทรายที่อยู่ระหว่างทะเลสาบและแม่น้ำโขง ห่างจากเมืองพระนครราว ๑๗๖ กิโลเมตร
แต่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ นั้น ‘ฟูนัน’ ยังคงส่งทูตไปยังจีนได้ แสดงถึงการรวมศูนย์อำนาจเป็น
ราชอาณาจักรแบบเมืองพระนครยังไม่เกิดขึ้น เป็นเช่นเดียวกับข้อเสนอของอาจจารย์โวลเตอร์สในเรื่องระบบมัณฑละและการปกครองในรูปแบบของนครรัฐหลายศูนย์อำนาจเป็นพื้นฐานในช่วงเวลานี้ โดยมีจารึกว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงยังคงรับใช้ทั้งกษัตริย์องค์สุดท้ายของฟูนันคือ ‘รุทรวรมัน' และกษัตริย์ของ
เจนละ เช่น ภววรมันที่ ๑ และ จิตรเสน-มเหนทรวรมัน และอีศานวรมัน ที่สืบเนื่องที่เมืองสมโบร์ไพรกุกหรืออีสานปุระ12 และราชวงศ์ต่อ ๆ มาที่ครองก็มักอ้างสิทธิถึงเครือญาติจากเมืองเศรษฐปุระนี้ เป็น
ธารสิทธิการครองราชย์ในเวลาต่อมาอยู่เสมอ
ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๓ อาณาจักรเจนละเริ่มอ่อนแอและแตกแยกออกเป็นสองส่วน ตามบันทึกของเอกสารจีนชื่อ ซินถังชู หรือ เจนละบก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ (ลุ่มแม่น้ำชี-มูล และพื้นที่ราบสูง) ซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของตระกูลเสนะ มีความมั่งคั่งและเป็นปึกแผ่นกว่า เจนละน้ำตั้งอยู่ทางตอนใต้ ใกล้กับทะเลสาบเขมรและปากแม่น้ำโขง
ต่อมาจึงถึง ‘ยุคเมืองพระนคร’ เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ทรงสถาปนาลัทธิเทวราชาที่อาจจะได้รับอิทธิพลจากราชวงศ์ไศเลนทรจากเกาะชวา ถือเป็นรากฐานสำคัญในการเข้าสู่ ‘สมัยเมืองพระนคร’ [Angkor] ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดของกัมพูชาเทศะ ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๔
ยุคทวารวดี-ศรีวิชัย
ในช่วงเวลาที่ทางการศึกษาประวัติศาสตร์และโบราณคดีในประเทศไทยเรียกว่า ‘ยุคทวารวดี-ศรีวิชัย’ ซึ่งอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวเวลาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ซึ่งอยู่ในยุคทวารวดีตอนกลางในเขตลุ่มเจ้าพระยาจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ อยู่ในช่วงปลายยุคศรีวิชัย
‘ทวารวดี’ นั้นปรากฏชื่อจากการถอดคำภาษาจีน โดยนักวิชาการทางศาสนาชาวตะวันตกในจดหมายเหตุของพระภิกษุชาวจีน ๒ รูปคือ พระถังซัมจั๋งหรือหลวงจีนเหี้ยนจัง [Hsuan-Tsang] บันทึกในช่วง
พ.ศ. ๑๑๗๐–๑๑๘๘ และหลวงจีนอี้จิง [Yijing/I-Tsing] บันทึกในช่วง พ.ศ. ๑๒๑๔–๑๒๓๘ โดยกล่าวถึงบ้านเมืองที่ชื่อว่า ‘โถ-โล-โป-ตี้’ [T’o-lo-po-ti] ถอดคำออกมาเป็น ‘ทวารวดี’ [Dvāravatī] ต่อมามีการพบเหรียญเงินที่ใกล้เมืองนครปฐม จารึกอักษรสันสกฤต ข้อความว่า ‘ศรีทวารวดีศวรปุณยะ’ หมายถึง ‘บุญกุศลของพระราชาศรีทวารวดี’
บ้านเมืองในวัฒนธรรมแบบทวารวดี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ โดยประมาณ เป็นบ้านเมืองที่มีนครรัฐขนาดน้อยใหญ่ในรูปแบบมัณฑละ กระจายอยู่ตามเส้นทางคมนาคมแบบโบราณที่อยู่ในเส้นทางน้ำขนาดเล็กที่สามารถเดินทางสู่ลำน้ำใหญ่ในเขตดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ที่หน้าน้ำก็จะเอ่อท่วมคล้ายทะเล และสามารถเดินทางสู่ชายฝั่งทะเลติดต่อกับทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกได้ทางอ่าวไทย
บ้านเมืองเนื่องในวัฒนธรรมแบบทวารวดีมีหลายภูมิภาค ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีเมือง
หลัก ๆ เช่น ศรีมโหสถที่ปราจีนบุรี มีอายุน่าจะร่วมสมัยกับทาง ‘ฟูนัน’ และมีความสืบเนื่องมาสู่ยุคสมัยทวารวดีและสมัยลพบุรี และเมืองดงละคร ที่มีอายุต่อเนื่องและหลังกว่า ทางฟากตะวันตกมีเมืองอู่ทองที่เป็นเมืองรุ่นฟูนันเช่นกันและสืบเนื่องมาจนถึงสมัยลพบุรี และเมืองท่าขนาดใหญ่ในสมัยทวารวดีตอนกลางและตอนปลาย คือที่เมืองนครปฐมโบราณและเมืองคูบัว ส่วนบริเวณลุ่มเจ้าพระยาตอนกลางมีพื้นที่ลุ่มมาก จึงปรากฏเมืองที่มีคูคันดินในพื้นที่ดอนตอนบน ซึ่งเป็นเมืองขนาดใหญ่น้อย รูปกลมและมีการขยายของเมืองอีกหลายแห่ง เช่น เมืองบน บึงคอกช้าง ละโว้ จันเสน อู่ตะเภา คูเมือง ฯลฯ
วัฒนธรรมทวารวดีทั้งหมด รับและนับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทในช่วงระยะเริ่มแรกของพุทธศาสนาที่น่าจะแผ่มาจากลุ่มน้ำกฤษณาที่มีเมืองอมราวดีในยุคเริ่มแรก ซึ่งมีอิทธิพลของพุทธศาสนาในสมัยราชวงศ์เมารยะของพระเจ้าอโศกฯ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ ทรงอุปถัมภ์คือ นิกายเถรวาท [Theravada] แม้ในช่วงเวลานั้น พุทธศาสนาเริ่มมีการแตกแยกออกเป็นนิกายย่อยต่าง ๆ ที่เรียกว่า นิกายมูลสรวาสติวาทและนิกายอื่น ๆ รวม ๑๘ นิกาย ซึ่งมีร่องรอยเห็นได้ว่านิกายมูลสรวาสติวาทที่ใช้ภาษาสันสกฤตนั้น น่าจะส่งอิทธิพลมาถึงบ้านเมืองในสมัยทวารวดีในลุ่มเจ้าพระยานี้ด้วย ที่ชัดเจนคือรับมาจากเมืองพุทธศาสนาแถบชายฝั่งและที่รุ่งเรืองมากในยุคนั้นแถบอานธรประเทศในปัจจุบัน และน่าจะรวมไปถึงเมืองท่าชายฝั่งที่เป็นเมืองทางพุทธศาสนาในลุ่มน้ำกฤษณาและโคธาวารีไปจนถึงลุ่มน้ำมหานทีในแคว้นกลิงคะและคงคาในแคว้นพิหาร เพราะล้วนเป็นเมืองท่าค้าขายชายฝั่งทะเลของอ่าวเบงกอลทั้งสิ้น
โดยทั่วไปให้อายุวัฒนธรรมแบบอมราวดีที่ส่งมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ราวปลาย
พุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ แต่ก็มีโอกาสที่น่าจะสัมพันธ์กับดินแดนอมราวดีโดยตรง ซึ่งจะมีอายุที่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ นอกจากนั้นอิทธิพลศิลปะนั้น ผ่านมาทางเมืองท่าชายฝั่งเช่นกัน แต่ส่งมาจากทางภาคเหนือและภาคตะวันตก คืออิทธิพลศิลปะแบบคุปตะ ซึ่งถือเป็นสกุลช่างแบบคลาสสิคของอินเดีย ที่เรียกว่าแบบสกุลช่างสารนาถ13 รูปแบบคือการครองจีวรแนบเนื้อ และพระพุทธรูปในอิริยาบถ ‘ตริภังค์’ หมายถึงยืนเอียง ๓ ส่วน ในช่วงแรกของทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๒ หลังจากนั้นในช่วงยุคทวารวดีตอนปลายก็คือได้อิทธิพลแบบปาละจากอินเดียเหนือที่ส่งสู่เมืองท่าทางพุทธศาสนาต่าง ๆ ทางชายฝั่งเบงกอลสืบเนื่องต่อมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖
มีการรับอิทธิพลโดยตรงจากอินเดีย พระพุทธรูปมักแสดงมุทราแบบแสดงธรรม โดยประทับยืนและนั่งห้อยพระบาท การสร้างธรรมจักรศิลาที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองทำจากหิน มีจารึกภาษาบาลีและสันสกฤต เป็นคาถา ‘เย ธัมมาฯ’ (เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ แปลว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้) สร้างเจดีย์ในผังรูปสี่เหลี่ยมเป็นส่วนใหญ่ และในยุคต่อมาก็รับอิทธิพลแนวคิดแบบมหายานตามยุคสมัยที่ส่งผ่านมาจากทางอินเดียที่เป็นคลื่นของการค้าและวัฒนธรรมความเชื่อแต่ละช่วงเวลา
พุทธศาสนาแบบมหายานในอินเดียได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์สำคัญชื่อ ‘ปาละ’14 ที่เจริญรุ่งเรืองในอินเดียตะวันออกบริเวณรัฐพิหารและเบงกอลตะวันตกของอินเดีย รวมถึงประเทศบังกลาเทศในปัจจุบัน แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะอุปถัมภ์ทั้งพุทธศาสนาและฮินดู ซึ่งยังไม่มีความแน่ชัดว่ากษัตริย์แห่งปาละนั้นนับถือศาสนาใดกันแน่ แต่พื้นที่ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์ปาละอาจนับเป็นที่มั่นสุดท้ายของพุทธศาสนาในอินเดีย ก่อนที่จะเกิดการรุกรานของชาวเติร์กและชาวมุสลิมเป็นเหตุผลสุดท้ายที่ร้ายแรงที่สุด

แต่ก่อนหน้านั้น พุทธศาสนาเองก็มาถึงจุดเสื่อมอย่างชัดแจ้ง เพราะทั้งที่มีหลายนิกาย เช่น มหายานและวัชรยาน การใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก ทำให้ภาษาบาลีที่ชาวบ้านเคยใช้หายไป สร้างสำนวนว่า ‘การทำให้เป็นสันสกฤต [Sanskritization]15 ซึ่งเป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้นภายหลังเปรียบเทียบกับการใช้ภาษาสันสกฤตคือการขยับเพิ่มฐานะทางสังคมและยังมีการแข่งขันกับเทพต่าง ๆ ของฮินดู ซึ่งต้องสร้างรูป
พระโพธิสัตว์และเทพขึ้นมาใหม่จำนวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นตลอดกว่าสองร้อยปี จนถึงราว พ.ศ. ๑๗๓๖
มูฮัมหมัด บิน บักติยาร์ ขาลจี [Mohammad Bakhtiyar Khilji] แม่ทัพชาวเติร์กที่รับใช้ราชวงศ์โฆรีซึ่งเป็นรัฐสุลต่านที่เดลี นำทัพเข้าบุกทำลายศูนย์กลางพุทธศาสนาที่สำคัญในรัฐพิหารและเบงกอล โดยเผาทำลายตัวอาคารและคัมภีร์ทางศาสนาที่มหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อื่น ๆ ใช้เวลากว่า ๑๐ ปี พุทธศาสนาจึงสูญสิ้นไปจากอินเดีย
นับแต่ช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ การอุปถัมภ์ของราชวงศ์ปาละทำให้ศาสนาและศิลปะทางพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง แม้ศาสนาฮินดูจะเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ และ ๑๗ เช่นกัน แต่ในช่วงเวลานี้ผู้แสวงบุญชาวพุทธ พระภิกษุ และนักศึกษาจากทั่วเอเชีย ต่างเดินทางมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เช่น สถานที่ตรัสรู้ที่พุทธคยาเพื่อการแสวงบุญตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ [Pilgrimage] ผู้แสวงบุญจากทั่วเอเชียเดินทางมายังภูมิภาคนี้เพื่อเรียนรู้และเผยแผ่ศาสนาพุทธไปยัง
ภูมิภาคอื่น ๆ ศิลปะและวัฒนธรรมในยุคปาละมีความโดดเด่นในด้านปรัชญา ศาสนา และศิลปะ โดยได้รับการสนับสนุนจากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเมืองในยุคนั้น

เมื่อเดินทางกลับจึงนำพระพุทธศาสนาและงานศิลปะในยุคปาละติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกคัมภีร์ทางศาสนา ประติมากรรมขนาดเล็ก ภาพวาด และภาพเขียนพกพาอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ศิลปะแบบปาละจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อศิลปะของเนปาล ทิเบต ศรีวิชัย พม่า ชวา ลุ่มเจ้าพระยาและกัมพูชาในช่วงที่นครรัฐส่วนใหญ่มีราชสำนักและพระราชวงศ์สนับสนุนทั้งศาสนาและศิลปกรรม
อาจารย์นันทนา ชุติวงศ์16 สรุปข้อมูลของพระภิกษุที่มีอิทธิพลต่อการเผยแผ่ศาสนาและศิลปกรรมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บุคคลเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ประเพณีทางศิลปะไปทั่วภูมิภาคต่าง ๆ โดยผสมผสานสไตล์อินเดียเข้ากับองค์ประกอบท้องถิ่น เพื่อสร้างการแสดงออกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น คุรุ กุมารา โฆษะ [Guru Kumaraghosa] จากแคว้นเบงกอลตะวันออก พระอุปัชฌาย์ของไศเลนทระ กษัตริย์แห่งชวา [Sailendre king of Java] ผู้สร้างปลุกเสกรูปเคารพของพระมัญชุศรีในปี พ.ศ. ๑๓๒๕
อย่างไรก็ตาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๗ นี้ การเดินทางของคุรุต่าง ๆ มีบันทึกไว้ว่ามีการเข้าสู่
ราชสำนักของบ้านเมืองหลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแทบทุกแห่งมีความชัดเจน ยกเว้นบ้านเมืองในเขตลุ่มเจ้าพระยาของประเทศไทยในปัจจุบัน ซึ่งนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ศิลปะมักสรุปว่าได้รับอิทธิพลศิลปะแบบปาละจากทางเมืองพระนคร ไม่ใช่ได้รับอิทธิพลทางศาสนาและศิลปกรรมปาละโดยตรงหรือผ่านทางพุกาม ซึ่งงานศึกษาต่อไปนี้จะวิเคราะห์วิจัยถึงสภาพการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าวว่าอิทธิพลศิลปกรรมแบบปาละนั้นควรเข้าสู่บ้านเมืองในลุ่มเจ้าพระยาในทิศทางใดและเพราะเหตุใด
อิทธิพลจากพุทธศาสนาและพ่อค้าในยุคสมัยปาละ ซูซานและจอห์น ฮันติงตัน เสนอว่า อิทธิพลของศิลปะแบบปาละส่งทอดสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สองเส้นทางด้วยกันคือ17
๑. เส้นทางบก อิทธิพลของศิลปะปาละแพร่กระจายไปยังเมียนมาและไทย รวมถึงกัมพูชา โดยมีการติดต่อโดยตรงระหว่างแคว้นเบงกอลและเมียนมา
๒. เส้นทางทะเล อิทธิพลของศิลปะปาละส่งต่อไปยังเมียนมา คาบสมุทรสยาม หมู่เกาะชวา ผ่านการค้าขายและการเดินเรือ
ศิลปะแบบปาละมีอิทธิพลต่อศิลปะในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น เนปาล ทิเบต เมียนมา ไทย และอินโดนีเซีย โดยมีการผสมผสานกับองค์ประกอบท้องถิ่นจนเกิดเป็นรูปแบบศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เส้นทางการค้าทางทะเลในสมัยราชวงศ์ปาละที่เชื่อมต่ออ่าวเบงกอลกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก เริ่มต้นเช่นที่ท่าเรือทัมราลิปติ ใช้ลมมรสุมตามฤดูกาลในการเดินทางเส้นทางสายตะวันออกคือตามแนวชายฝั่งพม่า โดยสิ้นสุดที่หมู่เกาะนิโคบาร์ จากนั้นข้ามไปยังคาบสมุทรมาเลย์ และผ่านช่องแคบมะละกาไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ เช่น ชวา บาหลี หรืออินโดจีน เส้นทางสายใต้ ตามแนวชายฝั่งของอินเดีย โดยอาจสิ้นสุดที่ซีลอน (ศรีลังกา) จากนั้นมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้สู่เกาะสุมาตรา สินค้าที่ซื้อขายในยุคนี้ เช่น เครื่องเทศ อัญมณี และสินค้าแปลกใหม่อื่นๆ
บ้านเมืองทางคาบสมุทรและหมู่เกาะที่รู้จักกันในนาม สหพันธรัฐศรีวิชัย การศึกษาเกิดขึ้นในลักษณะที่ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ [George Cœdès] ในปี พ.ศ. ๒๔๖๑-๒๔๗๒18 โดยการเผยแพร่จากเอกสารการแปลจารึกและการเผยแพร่ในวารสารของ ตีความจารึกและบันทึกโบราณว่าเป็น ราชอาณาจักร [Kingdom] แบบรวมศูนย์ ที่มีอำนาจเข้มแข็งคล้ายรัฐสมัยใหม่หรือรัฐในสมัยวิคทอเรียแบบยุโรปที่
นักวิชาการส่วนใหญ่ในสมัยอาณานิคมคุ้นเคย และมีข้อถกเถียงเรื่องศูนย์กลางตั้งอยู่ที่ใด โดยแบ่งเป็น ที่ปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา โดยเซเดส์และนักวิชาการต่างประเทศส่วนใหญ่ อ้างอิงจากบันทึกของหลวงจีนอี้จิงและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่บรรยาย และบริเวณคาบสมุทรที่ไชยาไปจนถึงนครศรีธรรมราช โดยนักวิชาการไทยบางกลุ่ม อ้างอิงจากหลักฐานทางโบราณคดีและจารึกที่พบในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม ในช่วง พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๓ มีแนวคิดของศาสตราจารย์ โอ. ดับเบิลยู. โวลเตอร์ส เสนอแนวคิดทางการปกครองของกษัตริย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคแรกว่าเป็น สหพันธรัฐเมืองท่า หรือเครือข่ายการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โบราณ ที่เน้นการควบคุมเส้นทางและผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่าการควบคุมพื้นที่บนบก19
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นผู้สนับสนุนแนวคิดของอาจารย์โวลเตอร์สอย่างชัดเจนในฝ่ายนักวิชาการไทยมานานแล้ว แม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์โบราณและนักโบราณคดีชาวไทยก็ตามเพราะเรียกศรีวิชัยว่า สมาพันธรัฐเมืองท่าศรีวิชัยซึ่งเป็นระบบมัณฑละที่มีศูนย์กลางของบ้านเมืองอยู่ทั้งในคาบสมุทรและหมู่เกาะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองท่าสำคัญ โดยมีกษัตริย์หรือพระราชาที่มีบารมีเป็นยุคสมัยไป
และไม่ใช่เป็นราชอาณาจักรศรีวิชัยที่มีอาณาเขตชัดเจน แต่เป็นลักษณะสหพันธรัฐเมืองท่า [Thalassocracy] ซึ่งอาจารย์ศรีศักรเรียกว่า ระบบมัณฑละ {Mandala] สะท้อนลักษณะการรวมกลุ่มของเมืองท่าสำคัญที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันจากเส้นทางการค้าในมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ มีฐานอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญอยู่บนการค้าทางทะเลที่เชื่อมโยงอ่าวเบงกอลเข้ากับทะเลจีนใต้ผ่าน ‘ช่องแคบมะละกา’ เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่ยอมรับว่าศรีวิชัยในช่วงปลายยุคสมัย หมดบทบาทลงเนื่องจากเหตุการณ์ครั้งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ คือ การถูกโจมตีข้ามอ่าวเบงกอลสู่บ้านเมืองบริเวณช่องแคบมะละกาโดยฝ่ายอาณาจักรโจฬะ ซึ่งกลายเป็นจุดจบของรัฐการค้าชายฝั่งบริเวณหมู่เกาะของสหพันธรัฐ
ศรีวิชัย และสร้างบทบาทที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชาวจีนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖
1 บางครั้งยังเรียกว่าจักรวรรดิทางทะเล เป็นรัฐที่มีชุมชนทางทะเลเป็นหลัก
2 ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐของเกาฏิลิยะ-Kautilya's theory of mandala
3 บทความของอาจารย์สุเนตร ชุตินธรานนท์ ใน Sunlit Chutintaranond, "Mandala, segmentary stat and politics of centralization in medieval Ayudhaya," Journal of the Siam Society 78, 1 (1990): 89-100.
4 คำว่า วรฺมฺม [varmma] อ่านว่า วารฺมมะ ในภาษาสันสกฤต หรือที่ในภาษาไทยนิยมเขียนและอ่านว่า วรมัน มีความหมายว่าปกป้องหรือผู้ปกป้อง ซึ่งปรากฏเป็นบรรดาศักดิ์ของกษัตริย์ในหลายราชวงศ์และหลายช่วงเวลาในอินเดียคือ ราชวงศ์วรมันที่ ‘กันเนาจ’ ในรัฐ
อุตตรประเทศปัจจุบัน เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ก่อตั้งโดยพระเจ้ายโศวรมัน [Yashovarman] และเป็นรัชกาลเดียวที่รุ่งเรืองที่สุดมีอิทธิพลเหนือแคว้นพิหารและเบงกอลด้วย ซึ่งก็อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเกิดความขัดแย้งของกลุ่มบ้านเมืองแบบฟูนันและเจนละใน
ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปรากฏสร้อยพระนามกษัตริย์วรมันอย่างสืบเนื่องต่อมา ส่วนราชวงศ์วรมันที่ ‘เบงกอลตะวันออก’ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองวิกรมปุระ ในบังกลาเทศปัจจุบันเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ดังนั้นสร้อยพระนามวรมันที่ปรากฏในราชวงศ์ของฟูนันและเจนละที่รับอิทธิพลจากอินเดียทางเหนือที่กันเนาจก็น่าจะมีความเป็นไปได้มาก
5 จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์ เช่น อู๋สือว่ายกั๋วจ้วน, จิ้นซู, เหลียงซู และท่ายผิงยู่หลั่น แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นและยุคสามก๊ก และราชวงศ์เหนือและใต้ ราวพุทธศตวรรษที่ ๘ และ ๑๑-๑๒ ซึ่งบันทึกเรื่องราวของฟูนัน บ้านเมืองที่รุ่งเรืองระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๘-๑๒
6 ถือเป็นตำนานชิ้นแรกที่กล่าวถึงการรับอารยธรรมอินเดียและการสถาปนารัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึง พราหมณ์ฮั่นเทียน (Hun-t'ien) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบุคคลเดียวกับพราหมณ์โกณฑัญญะ (Kaundinya) ที่มาจากอินเดียหรือประเทศทางตะวันตก มีเทพเจ้าเข้าฝันให้เดินทางไปยังดินแดนฟูนัน เจ้าหญิงหลิวเย่: เมื่อพราหมณ์ฮั่นเทียนเดินทางมาถึงฟูนัน ได้พบกับเจ้าหญิงหลิวเย่ (Liu-ye) หรือ นางพญาหลิวเหย่ ซึ่งเป็นหัวหน้าชนเผ่าพื้นเมือง (บางบันทึกระบุว่าเป็นเจ้าเมืองออกแก้วหรือเมืองท่าสำคัญ) การสู้รบและการสมรส:
เจ้าหญิงหลิวเย่นำกองทัพออกมาต่อสู้กับพราหมณ์ฮั่นเทียน แต่พราหมณ์เป็นฝ่ายชนะ (โดยบางตำนานเล่าว่า พราหมณ์ได้ยิงธนูศักดิ์สิทธิ์) หลังจากนั้นพราหมณ์ฮั่นเทียนได้รับเจ้าหญิงหลิวเย่เป็นมเหสี การสถาปนาราชวงศ์: พราหมณ์ฮั่นเทียนได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรฟูนัน โดยมีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ [Vyadhapura] ที่แปลว่าเมืองแห่งนักล่าหรือนายพราน สันนิษฐานกันว่าอาจจะอยู่บริเวณพื้นที่บาพนม ซึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ในจังหวัดไพรเวง ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงห่างมาราว ๑๐ กิโลเมตร ซึ่งสันนิษฐานที่ตั้งจากจดหมายเหตุจีนที่กล่าวว่าห่างจากปากแม่น้ำโขงราว ๑๙๐ กิโลเมตร จึงมีการขุดคลองเป็นเครือข่ายเพื่อเชื่อมต่อกับชายทะเลทางอ่าวไทย อย่างไรก็ตามเขาบาพนมและเมืองของฟูนันดังกล่าวมีอายุใกล้เคียงและตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งโบราณคดียุคเหล็กตอนปลายที่ชื่อ โปรเฮียร์ [Prohear] ที่พบมโหระทึกและโบราณวัตถุจำนวนมากซึ่งตั้งอยู่ห่างจากบาพนมราว ๓๕ กิโลเมตร ซึ่งเปรียบเทียบอายุจากเครื่องเงินและทองอายุในราวพุทธศตวรรษที่ ๔ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๖-๗
7 ข้อสันนิษฐานของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ใน ศรีศักร วัลลิโภดม, “สมัยฟูนันในประเทศไทย จากชมพูทวีปสู่สุวรรณภูมิ,” ใน สู่ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิ, (นนทบุรี: ศิษย์ศรีศักร, ๒๕๖๘), ไม่ปรากฏเลขหน้า.
8 ข้อเสนอและข้อสังเกตของศักดิ์ชัย สายสิงห์, พระพุทธรูปในประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: สมาพันธ์, ๒๕๕๖). ไม่ปรากฏเลขหน้า.
9 Michael Vickery, "Funan Reviewed: Deconstructing the Ancient," BULLETIN DE L'ECOLE FRAN<;AISE o'EXTREME·0RJENT 90·91, (2003-2004): 101-143.
10 ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ และศาสตราจารย์ชอง บวสเซอร์ลิเยร์ สันนิษฐานว่า 'นาฟูนา' น่าจะหมายถึง เมืองอังกอร์เบอเรย [Angkor Borei]
11 อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม และอาจารย์ธิดา สาระยา ได้ให้ความเห็นจากการสำรวจและวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดี โดยเฉพาะที่เมืองโบราณดงเมืองเตยและพื้นที่ใกล้เคียง ดงเมืองเตยมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองที่พบหลักฐานทางโบราณคดีและจารึกสมัยเจนละ ทำจากหินทรายสีแดง อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ กล่าวถึง การสร้างเทวสถานถวายแด่พระอิศวร โดย ‘พระนางศรีมานุญชลี’ บุตรีคนที่ ๑๒ ของ ‘พระศรีมารประวรเสนะ’ ผู้เป็นใหญ่ใน ‘เมืองศังขปุระ’ ซึ่งเชื่อมโยงกับตระกูลเสนะของพระเจ้าจิตรเสน (มเหนทรวรมัน) สันนิษฐานว่าดงเมืองเตยน่าจะมีชื่อเดิมว่า ‘ศังขปุระ' และจารึกที่ดงเมือง ในจังหวัดยโสธร ไม่ไกลจากดงเมืองเตยก็ยังสนับสนุนความมีอยู่ของตระกูลทางจิตรเสน ดงเมืองเตยยังตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในลุ่มน้ำชี-มูล แหล่งถลุงเหล็ก การขุดค้นได้ค่าอายุคาร์บอน-14 AMS ราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ในช่วงเวลาร่วมสมัยกับจารึกทีเดียว และมีความสัมพันธ์กับแหล่งผลิตเกลือ ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ที่บ่อพันขันและลุ่มน้ำเสียว ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญที่ถูกส่งผ่านไปยังดินแดนของเจนละและเขมรต่ำ ดังนั้นอาจารย์ศรีศักร จึงสันนิษฐานว่ากลุ่มของเจ้าชายจิตรเสนอาจมีรากเหง้าและเครือญาติ มีรากฐานมั่นคงในบริเวณจังหวัดยโสธรนี้
12 ตระกูลของภววรมัน น่าจะมีถิ่นที่อยู่แถบเมืองเศรษฐปุระ ซึ่งเป็นบริเวณใกล้กับปราสาทวัดภู ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในแคว้นจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เจ้าชายจิตรเสน และต่อมาเป็น พระเจ้ามเหนทรวรมัน ทรงร่วมกับพระเชษฐา คือพระเจ้าภววรมันที่ ๑ อาณาเขตของพระองค์ได้แผ่ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำโขง กัมพูชา ลาวตอนใต้ และขึ้นมาถึงลุ่มน้ำมูลในเขตอีสานใต้ของไทย โดยพบหลักฐานจารึกที่ระบุพระนามของพระองค์กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของพระองค์
13 สารนาถ เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาทางอินเดียเหนือ ในรัฐอุตตรประเทศปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในยุคราชวงศ์กุษานะและราชวงศ์คุปตะ ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐–๑๑ โดยมีลักษณะเด่นคือพระพุทธรูปที่สลักจากศิลาทรายสีแดง มีการใช้จีวรบางแนบพระวรกายและทำเป็นริ้ว รวมถึงการแสดงออกที่สง่างาม สกุลช่างนี้เป็นที่รู้จักจากประติมากรรมที่สวยงาม เช่น พระพุทธรูปยืนปางประทานพร ที่แสดงออกถึงความสงบและเมตตา
14 คำว่าปาละ ในภาษาสันสกฤต หมายถึง ผู้ปกป้อง และใช้เป็นสร้อยพระนามของกษัตริย์ทุกพระองค์ ปาละเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานและลัทธิตันตระ มีศูนย์กลางอยู่ที่เบงกอลและพิหาร มีอิทธิพลเหนือบ้านเมืองของอินเดียทางเหนือ เป็นจักรวรรดิที่เจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนามหายานและตันตระ มีความก้าวหน้าทางศิลปะ สถาปัตยกรรม และการศึกษา เช่น การสร้างวัดโสมาปุระมหาวิหารและอุปถัมภ์มหาวิทยาลัยนาลันทาและวิกรมศิลา เป็นยุคที่ศิลปกรรมโดดเด่นที่สุดและส่งอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อที่อื่นๆ นิยมสร้างกลุ่มสัมฤทธิ์ขนาดเล็กๆ เพื่อใช้บูชาในหิ้งพระภายในบ้านของผู้มีฐานะ 'หลักฐานจารึกและการค้นพบไอคอนไศวะจำนวนหนึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมอย่างกว้างขวางของไศวะในเบงกอลระหว่างยุคปาละจักรวรรดิปาละสลายตัวลงในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อถูกโจมตีโดยราชวงศ์เสนะ
15 เป็นกระบวนการทางสังคมในอินเดียที่วรรณะหรือชนเผ่าที่ต่ํากว่าใช้ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม และวิถีชีวิตของวรรณะที่สูงกว่าซึ่งมักมีอํานาจเหนือกว่าเพื่อปรับปรุงสถานะทางสังคม กระบวนการนี้เป็นรูปแบบของการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สูงขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการเลียนแบบพฤติกรรมวรรณะที่สูงขึ้น เช่น อาหาร อาชีพ และการปฏิบัติทางศาสนา
16 Nandana Chutiwongs, “The Trade Route and the Diffusion of Artistic Traditions In South and Southeast Asia,” In Ancient trades and cultural contacts in Southeast Asia, (Bangkok: The Office of the National Culture Commission, 1996), 3-43.
17 Susan L. Huntington and John C. Huntington, Leaves from the Bodhi Tree: The Art of Pala India and Its International Legacy, (Ohio : Dayton Art Institute in association with the University of Washington Press, 1990), n. pag.
18 ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ [George Cœdès] โดยการเผยแพร่จากเอกสารการแปลจารึกและการเผยแพร่ในวารสารของ BEFEO [Bulletin de l'École française d’Extrême-Orient] และเขียนบทความในเอกสาร ‘ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๒ : จารึกทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้’ ที่รวบรวมในปี พ.ศ. ๒๔๗๒ และศาสตราจารย์หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล แปลใน พ.ศ. ๒๕๐๔
19 Wolters, O. W., "Early Indonesian Commerce and the Origins of Srivijaya” (PhD thesis SOAS University of London, 1962), n. pag. วิเคราะห์รากฐานทางเศรษฐกิจและการค้าของรัฐโบราณในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการเกิดของศรีวิชัย โดยเห็นว่าศรีวิชัยมีฐานะเป็นเมืองท่าศูนย์กลาง ที่ควบคุมเส้นทางการค้าในช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นพื้นฐานของแนวคิดรัฐทะเล [Thalassocracy] และ Wolters, O. W., The Fall of Śrīvijaya in Malay History, (NewYork: Cornell University Pre, 1970), n. pag. ซึ่งวิเคราะห์การล่มสลายของศรีวิชัย โดยเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์มลายู โดยพัฒนาแนวคิดเรื่องศรีวิชัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็น 'Mandala' (มณฑล) ซึ่งเป็นรูปแบบการเมืองการปกครองที่ไม่ได้มีอาณาเขตชัดเจนและรวมศูนย์แบบอาณาจักรตะวันตก แต่เป็นการรวมกลุ่มกันของรัฐเล็ก ๆ (นครรัฐ) ที่มีกษัตริย์องค์หนึ่งเป็นประมุขสูงสุดที่ได้รับการยอมรับในเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรรม


Comments