top of page

บทบาทโคตรวงศ์ “เลือง” “ลาว” “กาว” และ “เขม”: ต่อดินแดนอยุธยา สุโขทัย ล้านนา

Updated: Nov 16

บทบาทโคตรวงศ์ “เลือง” “ลาว” “กาว” และ “เขม”: ต่อดินแดนอยุธยา สุโขทัย ล้านนา
บทบาทโคตรวงศ์ “เลือง” “ลาว” “กาว” และ “เขม”: ต่อดินแดนอยุธยา สุโขทัย ล้านนา

รูปแบบสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวไทที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนจีน เวียดนาม ลาว และไทย มีรากฐานสำคัญอยู่ที่การนับถือผีและระบบโคตรวงศ์ โดยแต่ละโคตรวงศ์จะมีหน้าที่เฉพาะ เช่น ปกครอง ประกอบพิธีกรรม หรือหาทำเลที่ตั้ง การทำหน้าที่เหล่านี้จะสืบทอดภายในโคตรวงศ์เท่านั้น โคตรวงศ์จึงไม่ได้ยึดติดกับพื้นที่ และสามารถเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงบทบาทได้ตามปัจจัยต่าง ๆ  


โคตรวงศ์เลือง

โคตรวงศ์เลืองมีบทบาทสำคัญในฐานะหมอ หรือหัวหน้าฝ่ายพิธีกรรมบูชาผีบรรพบุรุษ (ด้ำ) จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พบว่าโคตรวงศ์เลืองได้เคลื่อนย้ายจากตอนในภูมิภาค ลงมาตามเส้นทางแม่น้ำนัวที่เป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำอูเข้าสู่แม่น้ำโขงทางตอนเหนือของหลวงพระบาง ต่อเนื่องมายังลุ่มแม่น้ำน่าน ลุ่มแม่น้ำอุตรดิตถ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาแหล่งทำกินและทรัพยากรสำคัญอย่างเกลือ ทองแดง แร่เหล็ก ที่มีอยู่ในดินแดนแถบนี้และมีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้มาตั้งแต่

ยุคเหล็ก ประมาณ ๒,๐๐๐ ปี มาแล้ว โดยเส้นทางนี้สอดคล้องกับที่ระบุในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง พุทธศักราช ๑๘๓๕ ที่กล่าวถึงการมาถึงสุโขทัยของ 'ชาวไทเมืองใต้หล้าฟ้าฎ... ไทชาวอูชาวของ' เชื่อว่ามีโคตรวงศ์อื่นที่ใช้เส้นทางเดียวกันลงมาสู่ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน โดยโคตรวงศ์เหล่านั้นได้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมืองในพื้นที่ที่เป็นรัฐโบราณในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน จากนั้นได้สั่งสมอำนาจ

ค่อย ๆ เบียดขับหรือซึมซับอำนาจรัฐโบราณจนเกิดเป็นรัฐของโคตรวงศ์ 'เลือง' และโคตรวงศ์ไทอื่น 


การเมืองเรื่องโคตรวงศ์: สุโขทัย อยุธยา และล้านนา

ความคิดเรื่องโคตรวงศ์ที่ฝังรากลึกในสังคมวัฒนธรรมไทดั้งเดิม ช่วยอธิบายเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์บางอย่าง เช่น การที่พ่อขุนผาเมืองมอบสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาวซึ่งเป็นคนใน

โคตรวงศ์เลือง พร้อมกับพระนามศรีอินทรบดินทราทิตย์ และพระขรรค์ที่ได้รับพระราชทานมาจากผีฟ้ายโสธรปุระหรือพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เพราะสุโขทัยเป็นดินแดนที่โคตรวงศ์เลือง มีบทบาททางการเมืองเข้มแข็งมาก่อน แต่พ่อขุนผาเมืองได้ทำให้พ่อขุนบางกลางหาวทรงเป็น 'ปกเลือง' พระองค์แรกแห่งสุโขทัยอย่างเป็นทางการในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากนั้นล้านนา สุโขทัย และอยุธยา ก็ได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อโคตรวงศ์เลืองในอยุธยาพยายามรวบอำนาจโคตรวงศ์เลืองที่สุโขทัย 


โคตรวงศ์เลืองสายสุโขทัยพบหลักฐานในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอดปีพุทธศักราช ๑๙๓๕ ระบุว่า พระมหา

ธรรมราชาที่ ๓ ทรงสืบเชื้อสายจากโคตรวงศ์เลือง และหลักฐานเอกสารจีนสมัยราชวงศ์หมิงพุทธศักราช ๑๙๔๗ ระบุว่าพระองค์ทรงปกครองดินแดนที่เรียกว่า 'เปอเลอ' หรือปกเลือง


โคตรวงศ์เลืองสายอยุธยาเข้ามาตั้งบ้านเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และประสบความสำเร็จในการร่วมกับโคตรวงศ์อื่นก่อตั้งอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจ และควบคุมเส้นทางการค้าทางเรือในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่เชื่อมต่อกับเส้นทางเดินเรือทะเล จากนั้นโคตรวงศ์เลืองสายอยุธยาก็ได้ขยายอำนาจขึ้นไปจนกระทบกระเทือนเครือญาติร่วมโคตรสายสุโขทัย


จุดเปลี่ยน: การปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและการสิ้นสุดบทบาทของโคตรวงศ์ 'เลือง' 

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกษัตริย์ในโคตรวงศ์เลืองสายอยุธยาทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อปีพุทธศักราช ๑๙๙๑ พระองค์เริ่มปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีแนวคิดรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งขัดแย้งกับระบบโคตรวงศ์เดิมที่ทำให้เมืองต่าง ๆ ในสุโขทัยมีอำนาจปกครองตนเองสูง การยกเลิกระบบเดิมนี้ส่งผลกระทบโดยตรงกับพระยายุทธิษฐิระผู้นำโคตรวงศ์เลืองสายสุโขทัย ซึ่งควรจะได้เป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๕ แต่ไม่ได้เป็น จึงเกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่พระยายุทธิษฐิระ 'ย่างยาว' อพยพคนในปกครองเข้าไปขอพึ่งพระบารมีพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนาเชียงใหม่ เป็นเหตุให้เกิดสงครามอยุธยา-เชียงใหม่ยาวนาน ๑๘ ปี เมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการขจัดบทบาทของพระยายุทธิษฐิระในสุโขทัย ขณะที่อีกฝ่ายต้องการหนุนหลังให้พระยายุทธิษฐิระมีอำนาจในสุโขทัยและอาจจะอยุธยาด้วยถ้าหากเป็นไปได้ สงครามนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรบุคคลและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ยวนพ่ายโคลงดั้นได้กล่าวถึงพระยายุทธิษฐิระในฐานะผู้ทรยศต่ออยุธยาแล้วไปเข้ากับลาว (พระเจ้าติโลกราช) ทำให้จอมเลือง (สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) ต้องนำอยุธยาเข้าสู่สงคราม


พระเจ้าติโลกราชทรงเห็นโอกาสในการสนับสนุนพระยายุทธิษฐิระเพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจและการเมือง ทรงรับพระยายุทธิษฐิระเป็นพระราชบุตรบุญธรรม และโปรดเกล้าฯ ให้ปกครองเมืองน่าน ปัว และแพร่ ซึ่งเดิมเป็นของโคตรวงศ์กาวที่ออกห่างไปสวามิภักดิ์ต่ออยุธยา แต่พระเจ้าติโลกราชก็ทรงแต่งตั้งขุนนางจากเชียงใหม่มาดูแลเมืองเหล่านี้อีกชั้น เพื่อป้องกันการตั้งตนเป็นใหญ่ของพระยายุทธิษฐิระ


โคตรวงศ์เลืองสายอยุธยาเป็นที่รู้จักในชื่อราชวงศ์สุพรรณภูมิหรือราชวงศ์อู่ทอง แม้สมเด็จ

พระบรมไตรโลกนาถจะใช้ความเป็นพุทธวงศ์และความเชื่อพราหมณ์ในการจัดระเบียบราชการ แต่ความยึดมั่นในโคตรวงศ์เลืองยังคงมีอยู่ ซึ่งแสดงออกผ่านทางพระมารดาของกษัตริย์ในราชวงศ์มักมีประวัติว่าเป็นเจ้านายสุโขทัยเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งยวนพ่ายโคลงดั้นที่ระบุว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นจอมเลืองในหลายที่ ตัวอย่างเช่น

 

[๙๑]

๏ จึงตั้งข้าเรื้องราช วังเมือง แลนา

แทนยุทฐิษเฐียรคืน ครอบหล้า

ครั้นเสร็จจึงจอมเลือง โลเกศวร์ 

กล่นเกลื่อนพลช้างม้า คล่าวไคล1


โคตรวงศ์เลืองได้ปกครองอยุธยาสืบทอดต่อกันมา ๑๓ พระองค์ และหมดบทบาทไปเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๑ 


โคตรวงศ์ “ลาว” และ “กาว”: ผู้ปกครองดั้งเดิมและเครือข่ายอำนาจ

ยวนพ่ายโคลงดั้นที่เขียนขึ้นเพื่อยอยศสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คำว่าลาวจะใช้เรียกพระเจ้าติโลกราช ส่วนคำว่าเลืองจะใช้เรียกสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สองคำหมายถึงโคตรวงศ์ของกษัตริย์ ซึ่งคนในยุคนั้นเข้าใจได้ เพราะเป็นคำเรียกโคตรวงศ์ที่มีความเป็นมาเก่าแก่ ก่อนหน้าที่โคตรวงศ์ต่าง ๆ จะเคลื่อนย้ายลงมาจากตอนในภูมิภาค เช่น พงศาวดารล้านช้างที่มีอายุตำนานเก่าแก่ก่อนตำนานในลุ่มแม่น้ำกก กล่าวถึงกำเนิดของคนในผลน้ำเต้าปุง คนเหล่านั้นมีทั้งชาวไทเลิง (เลือง) ไทลอ (ลาว) และไทควาง (กว่าง) ที่แยกกันไปตั้งบ้านเมือง หรือเรื่องราวของโคตรวงศ์ที่ปรากฏในตำนานไทดำ ไทแดง ไทขาว โดยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกนั้น มีตำนานกล่าวถึงปู่เจ้าลาวหรือเจ้าลาวกะยู เป็นผู้ปกครองดั้งเดิม หรือตำนานเวียงหนองล่มและจารึกฐานฤาษี  วัชมฤค เนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงปู่เจ้าลาวจก ซึ่งต่อมาจะกลับชาติมาเกิดเป็น

ลวจังกราชปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์ลาวลุ่มแม่น้ำกก และเป็นโคตรวงศ์ของพระญามังรายที่ได้ปกลาวสืบต่อกันมาถึง ๒๔ องค์ จนถึงพระญามังรายเป็นพระองค์ที่ ๒๕ จึงทรงถอดคำนำหน้าพระนามว่าลาวออกเพราะทรงรับนับถือพระพุทธศาสนา


จารึกฐานฤาษีวัชมฤค
จารึกฐานฤาษีวัชมฤคที่กล่าวถึงปู่เจ้าลาวจก ส่วนหนึ่งของจารึกมีภาพนางปทุมวดีไหว้กวางดำ แสดงให้เห็นความเชื่อเรื่องสัตว์สัญลักษณ์ประจำโคตรวงศ์ จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน

โคตรวงศ์ลาวมีบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงมาช้านาน ก่อนจะขยายขอบเขตอำนาจเข้ามายังลุ่มแม่น้ำปิงผนวกรัฐหริภุญไชยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของล้านนา ถึงแม้ว่าพระญามังรายจะถอดคำว่าลาวออกจากพระนามไปแล้ว แต่ล้านนาก็ยังมีขุนนางตำแหน่งหมื่นด้ำและหมื่นด้งที่มีบทบาทเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมเซ่นผีโคตรวงศ์ และเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง 


ความคิดที่ว่ามีเฉพาะโคตรวงศ์ลาวเท่านั้นจึงจะปกครองบ้านเมืองได้ ปรากฏอยู่ในประวัติ

'พระเจ้าติโลกราช' เมื่อ 'แสนขาน' ขุนนางที่สนับสนุนให้พระเจ้าติโลกราชขึ้นครองราชสมบัติคิดจะชิงเอาบ้านเมือง 'หมื่นโลกนคร' ซึ่งเป็นน้าพระเจ้าติโลกราชได้เกลี้ยกล่อมให้แสนขานยอมศิโรราบด้วยประโยคว่า


เรานี้ไม่ใช่เชื้อท้าวพระยา จักเป็นท้าวพระยาบ่ได้


หรือการเสาะแสวงหาสายเลือดของโคตรวงศ์ เพื่อให้ขึ้นปกครองล้านนา ไม่ว่าสายเลือดนั้นเป็นสายเลือดที่แยกไปอยู่ห่างไกลแค่ไหน ขุนนางล้านนาก็จะเดินทางไปเสาะแสวงหาจนเจอตัว เช่น โคตรวงศ์ลาวที่แยกออกจากล้านนาเพราะการแต่งงานทางการเมือง กรณี 'พระนางยอดคำทิพย์' พระราชธิดา 'พระเมือง

เกษเกล้า' กับ 'พระนางจิรประภาเทวี' แห่งเมืองเชียงใหม่ พระองค์ทรงถูกส่งไปอภิเษกกับ 'พระญา

โพธิสาลราช' แห่งเมืองหลวงพระบาง พระราชโอรสคือ 'พระไชยเชษฐา' จึงได้สิทธิธรรมในการเสด็จจากล้านช้างเข้ามาปกครองล้านนา เพราะทรงสืบโคตรวงศ์ลาวจากฝ่ายพระบิดา


ความยึดมั่นเกี่ยวกับโคตรวงศ์มีมาจนถึงสมัยที่พม่าเข้ามาปกครองล้านนา พม่าได้มอบเมืองเชียงใหม่ให้พระนางวิสุทธิเทวีผู้เป็นเหง้าสืบโคตรวงศ์ลาว ตามจารึกฐานพระพุทธรูปวัดชัยพระเกียรติพุทธศักราช ๒๑๐๘ เมื่อพระนางสวรรคต พม่าได้เปลี่ยนให้ขุนนางพม่าเข้ามาปกครองล้านนา ทำให้โคตรวงศ์ลาวได้สิ้นบทบาทในการปกครองบ้านเมืองไปในพุทธศตวรรษที่ ๒๒ 


โคตรวงศ์กาว

โคตรวงศ์กาวอาจเป็นโคตรวงศ์ที่แยกมาจากโคตรวงศ์ลาว ดังปรากฏในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสนระบุว่าโอรสของ 'ลาวจก' องค์หนึ่งได้ปกครองแคว้นกวาง หรือแคว้นกวาว ซึ่งคือเมืองน่าน และจารึกปู่

ขุนจิดขุนจอดก็มีรายนามของพระญาปกครองเมืองน่านคือ 'ปู่พระยาคำฟู' ซึ่งอาจเป็นคนเดียวกันกับ

พระญาคำฟูแห่งเชียงใหม่ แสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติที่ซับซ้อนและแน่นแฟ้นระหว่างโคตรวงศ์กาวกับหลานผู้ปกครองชาวสุโขทัยที่สืบเชื้อสายจากโคตรวงศ์เลือง ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองน่านกับสุโขทัยยังแสดงออกผ่านศิลปะสุโขทัยที่พบในวัดพญาภู เมืองน่าน และจารึกปู่สบถหลานที่ระบุขอบเขตการปกครองของโคตรวงศ์กาวว่าครอบคลุมเมืองแพร่ เมืองงาว เมืองน่าน และเมืองปัว


ปีพุทธศักราช ๑๙๘๖ โคตรวงศ์กาวเมืองน่าน (พระยาแก่นท้าว) หนีไปสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าติโลกราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยายุทธิษฐิระได้ปกครองพะเยา งาว แพร่ น่าน เพื่อควบคุมพวกโคตรวงศ์กาว โดยมีขุนนางในราชสำนักเชียงใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาควบคุมเมืองน่านอีกชั้นหนึ่ง แต่ขุนนางที่ถูกส่งมาปกครองพวกโคตรวงศ์กาวก็อยู่ได้ไม่นานมักเสียชีวิตหรือถูกย้ายออกจากพื้นที่ในเวลาอันสั้น แสดงว่าโคตรวงศ์กาวยังมีอำนาจในเมืองน่านอยู่มาก แม้จะไม่ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง จนท้าวขาก่านขุนนางเมืองเชียงใหม่ที่มาปกครองเมืองน่านต้องสร้างนิทานว่าชาติที่แล้วตนเองเกิดเป็นแมงหมากเต้า เฝ้าอยู่ตีนดอยพระธาตุแช่แห้ง จึงสามารถปกครองเมืองน่านได้นานถึง ๔ ปี ก่อนจะถูกย้ายไปปกครองเมืองเชียงราย 


โคตรวงศ์กาวสิ้นสุดบทบาทในฐานะผู้ปกครองเมืองน่านหลังจากท้าวผาแสงสิ้นพระชนม์เมื่อปีพุทธศักราช ๒๐๐๔ พระเจ้าติโลกราชนำพวกโคตรวงศ์กาวที่เป็นผู้ปกครองไปอยู่ในราชสำนักเมืองเชียงใหม่


โคตรวงศ์เขม: ปริศนาแห่งอำนาจ

โคตรวงศ์เขมมีกล่าวไว้ในจารึกวัดบูรพารามเพียงสั้น ๆ ประโยคเดียวว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๓ ทรงครองปกเลืองและปกเขมตั้งแต่แรกขึ้นครองราชย์ ต่อมาทรงปราบปกกาวและดินแดนอื่นๆ ขยายขอบเขตอำนาจไปถึงฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง การที่จารึกวัดบูรพารามใช้คำว่า 'ปก' แทนความหมายของพื้นที่ที่กษัตริย์มีอำนาจ ตามด้วยชื่อโคตรวงศ์ แสดงว่าปกเขมก็น่าจะหมายถึงโคตรวงศ์ที่มีบทบาทในพื้นที่แห่งหนึ่งเช่นเดียวกับเลือง และกาว ซึ่งเป็นโคตรวงศ์สำคัญของอยุธยา สุโขทัย น่าน และล้านนา


เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมีอำนาจปกครองปกเลือง โดยใช้สิทธิของ

โคตรวงศ์ฝ่ายพระบิดา และปกเขมซึ่งเป็นดินแดนและโคตรวงศ์ของสมเด็จพระราชเทวีศรีจุฬาลักษณ์ พระมารดา การที่พระองค์ทรงปราบปกกาวและดินแดนอื่น แสดงถึงความขัดแย้งระหว่างสุโขทัยกับน่านที่เกิดขึ้นหลังการครองราชย์แล้วและพระองค์ทรงได้รับชัยชนะ


หลักฐานที่เชื่อมโยงพระมหาเทวีศรีจุฬาลักษณ์กับโคตรวงศ์เขม หรือสุพรรณภูมิ คือพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่น ๓ ที่พบในสุโขทัย มีจารึกว่า '...ตนนี้ก่อพระเจ้าแม่เอินไว้ในบุรพารามนี้...'2 ซึ่งศิลปะอู่ทองพบมากในสุพรรณบุรี และการพบพระพุทธรูปสุโขทัยคู่กับพระพุทธรูปอู่ทองในวัดมหาธาตุ สุโขทัย สะท้อนความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างสุโขทัยกับสุพรรณภูมิ ปกเขมหรือสุพรรณภูมิยังปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ซึ่งกล่าวถึงการประดิษฐานพระชัยพุทธมหานาถในเมือง

ต่าง ๆ รวมถึงสุพรรณภูมิ สันนิษฐานว่าปกเขมคือบ้านเมืองแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างในเขตสุพรรณภูมิ ที่มีความมั่งคั่งจากการเป็นเส้นทางการค้าเหล็กและเกลือสินเธาว์ 


พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่น ๓
พระพุทธรูปศิลปะอู่ทองรุ่น ๓ ที่พบในสุโขทัย ที่มา: สำนักนายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔, (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์, ๒๕๑๓), ๒๖๘-๒๖๙.

บทสรุปของความสัมพันธ์เชิงอำนาจและสิทธิธรรมในยุคโคตรวงศ์: กรณีพระยายุทธิษฐิระ

ความซับซ้อนของความสัมพันธ์และสิทธิชอบธรรมภายใต้ระบบโคตรวงศ์ที่มีมาก่อนรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระองค์ต้องการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยุธยาเสียใหม่ ทำให้พระยายุทธิษฐิระอดีตเจ้าเมืองสองแคว (พิษณุโลก) ผู้สืบเชื้อสายโคตรวงศ์เลืองและเขม พาคนอพยพไปพึ่ง

พระบารมีพระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา ผู้เป็นใหญ่ในโคตรวงศ์ลาว จุดชนวนสงครามยืดเยื้อ ๑๘ ปี ระหว่างล้านนากับอยุธยา


พระยายุทธิษฐิระนำพระเจ้าติโลกราชเข้าสู่สงครามโดยมีเป้าหมายเพื่อทวงคืนสิทธิชอบธรรมในการเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๕ หรือแม้กระทั่งอาจได้เป็นกษัตริย์อยุธยาด้วย แต่เมื่อการทำสงครามไม่ประสบความสำเร็จ และล้านนาสูญเสียทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทำให้หลังจากสงครามสิ้นสุด พระเจ้าติโลกราชทรงมุ่งหน้ารวมเมืองน่านเข้ากับล้านนา ทำให้พระองค์ทรงครอบครองเส้นทางการค้าภายในภูมิภาคอย่างเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของลุ่มแม่น้ำโขงไปจนถึงเมืองท่าเมาะตะมะ ซึ่งรวมถึงเส้นทางผ่านเมืองทุ่งยั้ง ศรีสัชนาลัย สุโขทัย ไปยังเมืองตากหรือกำแพงเพชร และข้ามช่องเขาเข้าสู่ดินแดนพม่า การควบคุม

เส้นทางเหล่านี้ เชื่อว่ามากเพียงพอ หรืออาจจะเกินพอชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามกับอยุธยา หลังจากนั้นในปีพุทธศักราช ๒๐๒๑ พระเจ้าติโลกราชทรงแสดงว่าพระองค์มีพระราชอำนาจเหนือดินแดนล้านนาตะวันออกอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการอัญเชิญพระแก่นจันทน์ออกจากเมืองพะเยา ผ่านเมืองน่าน แพร่ เขลางค์ (ลำปาง) ลำพูน มาประดิษฐานที่เชียงใหม่ 


อนึ่งนักวิชาการบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าการที่พระยายุทธิษฐิระยกย่องตนเองเป็นพระราชาอโศกราชในจารึกพระราชาอโศกราชฟังธรรมเทศนา ปีพุทธศักราช ๒๐๒๑ ทำให้พระเจ้าติโลกราชไม่ทรงโปรดปรานพระยายุทธิษฐิระอีกต่อไป จึงอัญเชิญพระแก่นจันทน์ออกจากเมืองพะเยาไปไว้ที่เมืองเชียงใหม่นั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าพระนามพระเจ้าอโศก หรือพระศรีธรรมาโศกราช เป็นพระนามที่เคยปรากฏอยู่ในโคตรวงศ์ของพระยายุทธิษฐิระอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่น่าทำให้พระเจ้าติโลกราชไม่โปรดพระองค์ และหลักฐานจารึกวัดป่าเหียง พุทธศักราช ๒๐๒๙ พระยายุทธิษฐิระก็ยังคงมีสถานะเป็นลูกพระเป็นเจ้าไม่ได้มีการถอดยศ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการทำนุบำรุงเมืองพะเยา เช่น ทรงสร้างเวียงที่ประทับในบ้านพองเต่า การทำบุญในพระพุทธศาสนา แต่หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ อำนาจการปกครองเมืองพะเยาและเมืองกาวได้เปลี่ยนมือไปสู่ขุนนางจากราชสำนักเชียงใหม่ถูกแต่งตั้งเข้าปกครอง แต่เชื่อว่าโคตรวงศ์ของ

พระยายุทธิษฐิระอาจจะยังคงมีอยู่ในเมืองพะเยาสืบต่อมา


สรุป

โคตรวงศ์เป็นรากฐานสำคัญของโครงสร้างทางสังคมและการเมืองในยุคดั้งเดิมของชาวไท โดยในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันพบหลักฐานเกี่ยวกับโคตรวงศ์มาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา 


โคตรวงศ์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการกำหนดบทบาท อำนาจการจัดการทรัพยากร และการเคลื่อนย้ายของประชากร โคตรวงศ์สำคัญในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันเท่าที่พบหลักฐานในเวลานี้ ได้แก่ 'เลือง' 'ลาว' 'กาว' 'เขม' 


แผนที่ แสดงกลุ่มโคตรวงศ์
แผนที่ แสดงกลุ่มโคตรวงศ์โดยประมาณ ภาพกราฟิกโดยมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์

เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่เป็นโคตรวงศ์เลืองสายอยุธยารวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางนั้น ได้นำมาซึ่งความขัดแย้งและสงครามที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองในภูมิภาคนี้ไปอย่างสิ้นเชิง โคตรวงศ์เลืองสายอยุธยา ขับไล่โคตรวงศ์เลือง-เขมสายสุโขทัย ทำให้ต้องไปพึ่งโคตรวงศ์ลาวในเมืองเชียงใหม่ได้ปกครองเมืองพะเยา ส่วนโคตรวงศ์ลาวเมืองเชียงใหม่ได้ผนวกเอาดินแดนของโคตรวงศ์กาวมาอยู่ในอำนาจ ย้ายโคตรวงศ์กาวมาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ แต่เมื่อพม่าเข้ามามีอำนาจในล้านนาและอยุธยา โคตรวงศ์ที่เคยปกครองบ้านเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ก็หมดบทบาทความสำคัญ


1 ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์, ยวนพ่าย โคลงดั้น, (พระนคร: มิตรสยาม, ๒๕๑๓), ม.ป.ป.

2 สำนักนายกรัฐมนตรี, ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔, (กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์), ๒๕๑๓.


บรรณานุกรม

ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์. ยวนพ่าย โคลงดั้น. พระนคร: มิตรสยาม, ๒๕๑๓.

สำนักนายกรัฐมนตรี. ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๔. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทาง ประวัติศาสตร์, ๒๕๑๓.

สำนักนายกรัฐมนตรี. ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๗. กรุงเทพฯ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ๒๕๓๔.

องค์การค้าของคุรุสภา. ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๒ (ประชุมพงศาวดาร ภาค ๑ ตอนปลาย และภาค ๒).  พระนคร: ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์, ๒๕๑๖.

องค์การค้าของคุรุสภา. ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ต่อ -๖๒). พระนคร: ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์, ๒๕๑๒.


อ้างอิงแผนที่โดย 

Hdamm - File:Lanna-Map.svg, CC BY-SA 3.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=18062105

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating
bottom of page